คุณเคยได้รับคำชมจากคนรอบข้าง แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เก่งจริงอย่างที่เขาพูดไหม หรือแม้จะมีผลงานเป็นที่ยอมรับ แต่ลึก ๆ กลับกังวลว่าจะถูก “จับได้” ว่าคุณไม่เก่งพอ หากคุณเคยรู้สึกแบบนี้ นั่นอาจไม่ใช่แค่ความคิดชั่ววูบ แต่คือสัญญาณของ Imposter Syndrome ภาวะทางจิตใจที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมากโดยเฉพาะคนเก่งที่มักไม่มั่นใจในตัวเอง บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า Imposter Syndrome คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร มีผลกระทบอย่างไรต่อชีวิต และจะรับมือกับมันได้อย่างไรบ้าง
KRAJANG Summary
- Imposter Syndrome คือ ภาวะที่คนรู้สึกว่าตนเองไม่เก่งหรือไม่คู่ควรกับความสำเร็จ แม้จะมีผลงานชัดเจนก็ตาม ผู้ที่มีภาวะนี้มักคิดว่าความสำเร็จเกิดจากโชคหรือความเข้าใจผิดของคนอื่น
- อาการของผู้ที่มีภาวะ Imposter Syndrome ไม่เชื่อว่าความสำเร็จของตนเกิดจากความสามารถจริง ๆ และลดทอนความสามารของตัวเองลง ไม่กล้ารับคำชม และหลีกเลี่ยงโอกาสใหม่ ๆ
- ภาวะ Imposter Syndrome สามารถรับมือได้ด้วยการสังเกตความคิดและยอมรับคำชม หากกระทบชีวิตประจำวันควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเอง
Imposter Syndrome คืออะไร?
Imposter Syndrome หรือ ภาวะหลอกลวงตัวเอง คืออาการที่บุคคลไม่เชื่อมั่นในความสำเร็จหรือความสามารถของตนเอง ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนว่าตนเก่งหรือประสบความสำเร็จแล้วก็ตาม พวกเขามักคิดว่าตนเองแค่โชคดีหรือแค่คนอื่นยังไม่รู้ความจริงว่าตัวเองไม่เก่งจริง ทำให้เกิดความวิตกกังวล ไม่มั่นใจ และกลัวว่าจะถูกเปิดโปงในที่สุด
Imposter Syndrome มีอาการอย่างไร?
ภาวะ Imposter Syndrome มักไม่แสดงออกชัดเจนในรูปแบบเดียวกันทุกคน แต่มีลักษณะร่วมที่สามารถสังเกตได้ โดยทั่วไปอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นร่วมกันหรือสลับกันตามสถานการณ์ ดังนี้
1. ไม่เชื่อว่าตนเองสมควรได้รับความสำเร็จ
แม้จะมีผลงานที่เห็นได้ชัด เช่น การเลื่อนตำแหน่ง การได้รางวัล หรือคำชมจากผู้บริหาร แต่บุคคลที่มี Imposter Syndrome มักคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น โชคช่วย หรือมีคนอื่นคอยสนับสนุน
2. รู้สึกกลัวว่าจะถูก “จับได้” ว่าไม่เก่งจริง
คนที่มี Imposter Syndrome มักมีความกลัวลึก ๆ ว่าสักวันหนึ่งคนอื่นจะมองเห็นว่า “เราไม่ได้เก่งจริง” หรือไม่ได้มีความสามารถอย่างที่คนรอบข้างคิดไว้ ความกลัวนี้อาจรุนแรงจนกลายเป็นโรคกดดันตัวเอง (Self-Pressure) ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดีอยู่เสมอ
3. ตั้งมาตรฐานกับตัวเองสูงเกินไป (Self-imposed perfectionism)
กลุ่มคนที่มี Imposter Syndrome มักคาดหวังให้ตัวเองทำได้ “ดีที่สุด” เสมอ และมักรู้สึกผิดหากทำได้ไม่ถึงเป้าหมาย แม้ความสำเร็จนั้นจะมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปแล้วก็ตาม
4. ลดทอนความสำเร็จของตนเอง (Minimizing achievement)
ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จแค่ไหน พวกเขามักพูดถึงมันในแบบที่ลดค่า เช่น “ไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก” หรือ “ใครก็ทำได้” ซึ่งทำให้ยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้มีคุณค่าอะไรจริง ๆ
5. ไม่กล้ารับคำชม
เมื่อมีคนชม คนที่มีภาวะนี้มักตอบกลับด้วยความไม่สบายใจ เช่น “ไม่หรอกค่ะ/ครับ ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” ทั้งที่คำชมนั้นมาจากผลงานจริงที่พวกเขาทำได้ดี ลึก ๆ แล้วพวกเขาไม่เชื่อว่าตัวเองคู่ควรกับคำชมนั้น ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของ โรคไม่มั่นใจในตัวเองที่ทำให้ลดคุณค่าและศักยภาพของตนเองโดยไม่รู้ตัว
6. หลีกเลี่ยงโอกาสใหม่ ๆ
เนื่องจากไม่มั่นใจในศักยภาพของตัวเอง หลายคนที่มี Imposter Syndrome มักเลี่ยงโอกาสที่จะเติบโต เช่น ไม่กล้ารับโปรเจกต์ใหญ่ ไม่กล้าสมัครงานใหม่ หรือลังเลที่จะนำเสนอไอเดีย เพราะกลัวล้มเหลว
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ Imposter Syndrome
1. ตั้งมาตรฐานสูงเกินไป
คนที่มีภาวะ Imposter Syndrome มักจะตั้งความคาดหวังให้ตัวเองทำได้ดีที่สุดในทุก ๆ งาน ซึ่งส่งผลให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรค่ากับความสำเร็จที่ได้รับ หากมีความสำเร็จเกิดขึ้นก็จะรู้สึกว่าที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นยังไม่ดีพอ เพราะว่าตั้งมาตรฐานสูงจนเกินไป ทำให้ไม่สามารถเห็นความสำเร็จในมุมบวก เพราะคิดอยู่เสมอว่าตัวเองสามารถทำได้ดีกว่านี้
2. การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิด Imposter Syndrome โดยการตั้งสำเร็จของคนอื่นถือเป็นมาตรฐานหรือเกณฑ์ในการประเมินตัวเอง จนเกิดความคิดที่ว่า “คนอื่นทำได้ดีกว่า” หรือ “ทำไมไม่สามารถทำได้เหมือนเขา” และกลับมาโทษตัวเองว่ายังไม่ดีพอ หรือไม่สมควรที่จะได้รับความสำเร็จนั้น
3. ประเมินความสามารถของตัวเองต่ำไป
คนที่มีภาวะ Imposter Syndrome มักจะไม่เห็นคุณค่าหรือความสำคัญของความสำเร็จที่ตัวเองได้มา มักจะมองว่าเป็นเรื่องของความโชคดี ไม่ใช่เพราะความสามารถของตัวเอง จึงทำให้คนกลุ่มนี้ไม่กล้ายอมรับคำชมจากใคร
4. ความคาดหวังทางสังคมและวัฒนธรรม
ในบางสังคมและวัฒนธรรม อาจมีการตั้งความคาดหวังเกี่ยวกับความสำเร็จหรือการบรรลุเป้าหมายในเวลาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในสังคมที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จทางการเงินหรือสถานะทางสังคม ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานเหล่านี้ได้
ใครมีแนวโน้มเป็น Imposter Syndrome บ้าง?
แม้ภาวะ Imposter Syndrome จะเกิดได้กับทุกคน แต่มีบางกลุ่มที่มีแนวโน้มจะเผชิญกับมันมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานในสภาพแวดล้อมที่แข่งขันสูง หรือต้องวัดผลสำเร็จจากผลงานที่ชัดเจน
1. คนทำงานสายสร้างสรรค์
กลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์ เช่น นักออกแบบ กราฟิกดีไซเนอร์ นักเขียน Copywriter หรือ Content Creator ที่ต้องผลิตผลงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมรับคำวิจารณ์จากลูกค้าและทีม ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกว่า “ผลงานฉันยังดีไม่พอ” แม้จะได้รับคำชมก็ตาม
2. สายงานเอเจนซี่และดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง
อีกหนึ่งสายงานที่เป็น Imposter Syndrome กันเยอะคือผู้ที่ทำงานในเอเจนซี่ SEO นักกลยุทธ์ดิจิทัล หรือผู้ดูแลแคมเปญโฆษณาออนไลน์ เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลา วัดผลลัพธ์เป็นตัวเลข และรับมือกับความคาดหวังของลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม หลายคนในสายนี้จึงมักเกิดความรู้สึกว่า “ความสำเร็จที่ได้มาจากดวงหรือทีมมากกว่าตัวเอง” หรือ “ยังไม่เก่งเท่าคนอื่นในวงการ”
ตัวอย่างเช่น นักวางกลยุทธ์ SEO ที่ทำอันดับเว็บลูกค้าขึ้นหน้าแรกของ Google ได้สำเร็จ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเอง “แค่ใช้เครื่องมือเก่ง” ไม่ใช่เพราะวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้ดีจริง ๆ ทั้งที่สิ่งที่ทำคือการใช้ประสบการณ์และความเข้าใจเชิงลึกทั้งหมด
3. คนที่ประสบความสำเร็จเร็ว
ยิ่งสำเร็จมาก บางคนยิ่งกลัวว่าจะรักษามาตรฐานนั้นไว้ไม่ได้ หรือรู้สึกว่าตนเองไม่ได้คู่ควรกับตำแหน่งหรือโอกาสที่ได้รับ เช่น ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าโปรเจกต์ใหญ่ทั้งที่อายุงานน้อย ก็อาจรู้สึกว่าเป็นเพราะคนอื่นไม่ว่าง หรือไม่เหลือใครแล้วนอกจากเรา ไม่ใช่เพราะเราเก่ง เป็นต้น
4. พนักงานใหม่หรือคนที่เปลี่ยนสายงาน
แน่นอนว่าการเปลี่ยนสายงาน และเข้าไปในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ คนกลุ่มนี้มักรู้สึกว่าตนเองยังไม่มีสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของทีม หรือไม่เก่งพอที่จะแสดงความสามารถหรือแสดงความคิดเห็น แม้ว่าแท้จริงจะมีผลงานหรือทักษะที่ดีอยู่ก่อนแล้ว
ผลกระทบของ Imposter Syndrome
แม้จะดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่หากไม่เข้าใจและรับมืออย่างถูกต้อง อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตและการทำงานในระยะยาว เช่น
- ความเครียดสะสม
- ภาวะหมดไฟ (Burnout)
- ความวิตกกังวลเรื้อรัง
- ไม่กล้ารับโอกาสใหม่ ๆ
- ลดทอนคุณค่าในตนเอง
วิธีรับมือกับ Imposter Syndrome
1. สังเกตความคิดตัวเอง และยอมรับว่าคุณกำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง
เริ่มจากการรู้ตัวว่าความคิดที่บอกตัวเองว่าเราไม่เก่งจริง อาจเป็นเพียงเสียงในหัว ไม่ใช่ความจริงเสมอ ลองเขียนบันทึกความรู้สึกหรือพูดกับตัวเองว่า นี่คือ Imposter Syndrome ไม่ใช่ความล้มเหลวของเรา
2. เก็บหลักฐานความสำเร็จของตัวเอง
สร้าง Success Folder หรือ Portfolio of Wins รวบรวมคำชม ความสำเร็จ หรือผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เช่น รีวิวจากลูกค้า SEO ที่พอใจอันดับเว็บไซต์ หรือยอด Organic Traffic ที่เพิ่มขึ้น เพื่อใช้เตือนใจในวันที่รู้สึกไม่มั่นใจ
3. ฝึกพูดขอบคุณ เมื่อมีคนชม
แทนที่จะปฏิเสธคำชม ให้เริ่มต้นด้วยการพูดว่า “ขอบคุณ” และยอมรับมันโดยไม่ลดคุณค่าตัวเอง วิธีนี้จะช่วยฝึกให้จิตใจคุ้นเคยกับการรับรู้คุณค่าอย่างเป็นธรรม
4. ตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง ไม่เพอร์เฟกต์
หลีกเลี่ยงการตั้งมาตรฐานตัวเองให้สูงเกินจริง เช่น ต้องติดหน้าแรก Google ภายใน 1 เดือนทุกโปรเจกต์ ให้เปลี่ยนเป็นเป้าหมายที่วัดได้จริง รวมถึงรู้จักให้พื้นที่กับความผิดพลาดเพื่อการเรียนรู้
5. พิจารณาขอคำปรึกษาด้านจิตวิทยา
หากความรู้สึกไม่มั่นใจเริ่มรบกวนชีวิตประจำวัน หรือกระทบการทำงานหนักเกินไป การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือโค้ชพัฒนาตนเองอาจช่วยให้คุณได้เครื่องมือรับมือที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
สรุป
Imposter Syndrome คือความรู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถหรือความสำเร็จของตัวเอง แม้ว่าจะมีหลักฐานชัดเจนว่าทำได้ดีหรือได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างแล้วก็ตาม อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เราจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีรับมือกับ Imposter Syndrome ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคุณต้อง “เก่งกว่านี้” แต่หมายถึงการยอมรับและเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำได้ ฝึกเปิดใจรับคำชม หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น และให้โอกาสตัวเองได้เรียนรู้จากความผิดพลาด