เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน การตลาดออนไลน์จึงเป็นช่องทางสำคัญที่สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ ธุรกิจจึงต้องงัดกลยุทธ์มาเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และพัฒนาธุรกิจให้เหนือกว่าคู่แข่ง โดยสิ่งที่จะสามารถวัดความสำเร็จได้ก็คือ Conversion หรือผลตอบแทนที่แบรนด์คาดหวัง และเพื่อให้ประความสำเร็จมากขึ้นไปอีก Conversion Rate Optimization (CRO) ก็เป็นอีกกลยุทธ์เด็ดที่กระจ่างอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จัก เพราะช่วยให้ธุรกิจของคุณมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
KRAJANG Summary
- Conversion Rate Optimization (CRO) คือเทคนิคการเพิ่ม Conversion Rate อย่างการซื้อสินค้า, สมัครสมาชิก หรือติดต่อหาแบรนด์มากขึ้น ด้วยการปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์
- Landing Page ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำ CRO เพราะเป็นหน้าแรกที่ลูกค้าเห็น ควรจัดเรียงเนื้อหาให้น่าสนใจ อ่านง่าย และใส่ปุ่ม CTA เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
- การทำ CRO ไม่ได้เพิ่มแค่ยอดขายเท่านั้น แต่ช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ได้ด้วย เพราะผู้ชมมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์มากขึ้น และยอด Bounce Rate ลดลง ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์นี้มีคุณภาพ
มาทำความรู้จัก Conversion กันก่อน
Conversion ในทาง Digital Marketing เป็นคำที่ใช้เรียกการกระทำที่ธุรกิจต้องการให้เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ เช่น สั่งซื้อสินค้า สมัครสมาชิก ดาวน์โหลดคู่มือสินค้า จองคิว แอดไลน์เพื่อสอบถามแอดมิน และอีกมากมาย โดยข้อมูลเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจได้รู้ว่าพวกเขาสนใจอะไรเป็นพิเศษ และสามารถนำมาต่อยอดในการทำโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดทิศทาง คำนวณงบโฆษณา และวิเคราะห์พฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดยิ่งขึ้น
โดยส่วนใหญ่คนใช้ Conversion Rate หรืออัตราส่วนของ Conversion ต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ในการวัดผลลัพธ์ว่า โฆษณาหรือกลยุทธ์บนเว็บไซต์นั้นตอบโจทย์หรือยัง ซึ่งมีสูตรดังนี้
เช่น Conversion ที่คุณต้องการคือ การจองสินค้า ซึ่งมีคนกด 50 คน จากจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด 250 คน เมื่อคำนวณก็ได้ Conversion Rate ทั้งหมด 20% เป็นต้น
CRO คืออะไร
CRO ย่อมาจาก Conversion Rate Optimization เป็นกลยุทธ์การเพิ่มจำนวน Conversion Rate บนเว็บไซต์ให้สูงขึ้นด้วยการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งคล้ายกับการทำ SEO แต่จะเพิ่มเนื้อหาและปรับแต่งเชิง Technical บางอย่าง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับเว็บไซต์มากขึ้นนั่นเอง
เคล็ดลับการทำ CRO ให้ประสบความสำเร็จ
เทคนิคการทำ Conversion Rate Optimization ให้เวิร์กนั้นไม่ได้มีตายตัว เพราะกลุ่มเป้าหมายของแต่ละธุรกิจมีพฤติกรรมและความชอบที่ไม่เหมือนกัน ต้องอาศัยการทดลองและปรับปรุงคอนเทนต์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอสิ่งที่ใช่ แต่คุณสามารถนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับเว็บไซต์ได้เลย!
ออกแบบ Landing Page ให้ใช้งานสะดวก
Landing Page เป็นหน้าแรกที่ลูกค้ากดเข้ามาเจอและถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจ เพื่อลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) ควรจัดเรียงเนื้อหาให้อ่านง่าย เข้าใจรายละเอียดสินค้าและบริการได้อย่างรวดเร็ว ออกแบบ UX/UI ให้ใช้งานสะดวก โดยส่วนประกอบที่ควรมีในหน้า Landing Page ได้แก่
- Headline และ Hero Image ที่น่าสนใจ
- ปุ่ม Call To Action
- แบบฟอร์มสำหรับกรอกข้อมูล ชื่อ ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทร เพื่อให้แบรนด์ติดต่อกลับไป
- มีสิทธิประโยชน์หรือโปรโมชันต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิด Conversion
นอกจากนี้ Page Speed ไม่ควรเกิน 3 วินาที ลองคิดภาพตาม ถ้าตั้งใจเข้ามาซื้อสินค้าแต่เว็บไซต์กลับโหลดช้ามากหรือไม่เสถียร ลูกค้าก็จะปิดหน้าเว็บไซต์และมองหาเจ้าอื่นทันที
สร้างปุ่ม Call To Action
เทคนิคการทำ CRO ง่าย ๆ คือ เพิ่มปุ่ม Call To Action (CTA) ในหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Landing Page, Home Page หรือ Blog เพื่อดึงดูดให้คนตัดสินใจทำ Conversion เร็วขึ้น สามารถนำวิธีการเขียนแบบ Copywriting มากระตุ้นการมีส่วนร่วมได้ด้วย เช่น “สมัครสมาชิกเลย” “สั่งซื้อตอนนี้” “กดลงตะกร้าตอนนี้ ลด 10%” “จองสินค้าเลย!” เป็นต้น ซึ่งปุ่ม CTA ควรวางในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่าย กระจายอยู่ทั่วเนื้อหาอย่างเหมาะสม และใช้สีที่ตัดกันกับสีข้อความ
ออกแบบโครงสร้างเนื้อหา (Site Structure) ให้อ่านง่าย
เพื่อให้ลูกค้าใช้งานบนเว็บไซต์สะดวกยิ่งขึ้น ควรวาง Site Stucture ให้เป็นระเบียบและสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น หน้า Landing Page ของกระจ่าง → บริการ SEO ทั้งหมด → หมวดหมู่บริการ SEO แต่ละประเภท → หน้า Local SEO เป็นต้น ซึ่งการวางโครงเนื้อหาที่ดี ไม่เพียงแค่ให้คนสามารถอ่านและค้นหาเนื้อหาได้ง่าย แต่ยังช่วยให้ Robots เข้ามาเก็บข้อมูลสะดวกขึ้นอีกด้วย
ทำ A/B Testing ทดสอบความชอบของลูกค้า
A/B Testing คือ การทดสอบหน้าเว็บไซต์ 2 แบบ เพื่อดูว่าแบบ A หรือแบบ B ที่ทำให้ผู้ใช้เกิดประสบกาณณ์ที่ดีและเกิด Conversion มากกว่ากัน ซึ่งอาจจะแตกต่างกันที่วิธีการจัดเรียงเนื้อหา สีปุ่ม Call To Action รูปภาพ หรืออื่น ๆ เปรียบเทียบว่ากลุ่มเป้าหมายชอบแบบไหนและนำมาปรับแต่งในเว็บไซต์ได้อย่างไรบ้าง เป็นวิธีการทำ Conversion Rate Optimization ที่ลดความเสี่ยงในปรับเปลี่ยนดีไซน์บ่อย ๆ
ทำไมธุรกิจถึงควรใช้กลยุทธ์ CRO
อย่างที่บอกไปว่ากลยุทธ์ CRO ช่วยให้เราสามารถวัดผลลัพธ์และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างชัดเจน นอกจากยอดขายที่ธุรกิจไหน ๆ ก็ต้องการแล้ว CRO ยังมีประโยชน์ต่อการทำ Digital Marketing อีกมากมาย ดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมายได้รับประสบการณ์ที่ดีจากเว็บไซต์
เมื่อเว็บไซต์ถูกออกแบบมาให้ตรงกับความชอบและพฤติกรรมการใช้งานของ User พวกเขาก็จะได้ประสบการณ์ที่ดีและมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ธุรกิจสามารถนำ Data ที่ได้มาวางแผนแคมเปญในอนาคต รวมถึงปรับปรุงเนื้อหาให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายและเกิด Conversion มากขึ้นไปอีก
2. CRO ช่วยลดต้นทุนในการทำโฆษณา
การทำ Conversion Rate Optimization เป็นการทดลองและทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายไปในตัว แทนที่จะลงเงินจำนวนมากไปกับการยิงแอดอย่างเดียว ลองเปลี่ยนเป็นการปรับแต่งเนื้อหาเพื่อค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงเป็นใคร ต้องการอะไร และมีพฤติกรรมแบบไหน ก็จะสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยไม่ต้องยิงโฆษณา หรือถ้าต้องการทำ SEM ก็สามารถนำ Data หลังบ้านไปออกแบบโฆษณาได้เช่นกัน
3. อันดับของเว็บไซต์สูงขึ้น
CRO กับการทำ SEO ถือเป็นการเอื้อประโยชน์กันและกัน เพราะว่า Conversion Rate Optimization ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม, อัตรา Bounce Rate ลดลง และมีคนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อ Ranking ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ และจัดอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นนั่นเอง
สรุป
Conversion Rate Optimization กับการทำ SEO ถือเป็นของคู่กัน เพราะการสร้างเนื้อหาคุณภาพเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ CRO เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งฝั่งธุรกิจก็ต้องคอยเก็บ Insight ลูกค้าและพัฒนาคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้คู่แข่งแซงหน้าและรักษาอันดับของเว็บไซต์ไว้ได้
