อย่างที่รู้กันดีว่าการสร้างเนื้อหา SEO ให้ติดอันดับนั้น มาจากการเข้าใจความต้องการของ User ถ้าพวกเขาอยากได้อะไร เราก็มีหน้าที่แก้ปัญหาหรือมอบคำตอบให้กับผู้ใช้ ซึ่งเพื่อน ๆ น่าจะคุ้นหูคำว่า Search Intent ที่นักเขียนหลายคนใช้เป็นหลักเกณฑ์ตั้งต้นก่อนสร้างสรรค์คอนเทนต์สักชิ้น ทั้งบทความ, On-site Page และอีกมากมาย โดยรู้ไหมว่าเจ้า Search Intention นี้ช่วยให้เราทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมาย และเขียนเนื้อหาตรงใจคนอ่านได้อีกด้วย!
KRAJANG Summary
- Search Intent หรือเจตนาในการค้นหาของ User ที่บ่งบอกความต้องการหรือข้อสงสัย โดยใช้วลี ประโยค หรือข้อความสั้น ๆ และเซิร์ชบน Search Engine เพื่อหาคำตอบ
- เราสามารถนำ Search Intent มาปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ ไม่ว่าจะเป็น หน้า Service, Home Page, บทความ หรือตาม Meta Tag ต่าง ๆ
- เจตนาในการค้นหาแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ Informational ค้นหาข้อมูล, Navigational ค้นหาจุดหมายปลายทาง, Commercial ค้นหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และ Transactional ค้นหาเพื่อซื้อสินค้าและบริการ
Search Intent คืออะไร
Search Intent คือ เจตนาในการค้นหาของ User ที่เกิดข้อสงสัยหรือต้องการตามหาอะไรบางอย่าง จึงทำการเซิร์ชด้วยวลี ประโยค หรือคำถามต่าง ๆ บน Search Engine เช่น ร้านกาแฟ Slowbear BKK เปิดกี่โมง, คอร์สกดสิว ราคาเท่าไหร่, รองเท้ากีฬารุ่นที่ขายดีที่สุด ซึ่งเราจะได้ Search Intention มาจากการทำ Keyword Research นั่นเอง
Search Intent สำคัญอย่างไรกับการสร้างคอนเทนต์ SEO
Search Intent ไม่เพียงแค่บอกว่าอะไรคือสิ่งที่ User กำลังตามหา แต่สามารถบอก Customer Journey ได้ด้วย เช่น ต้องการเปรียบเทียบสินค้า, มองหาข้อมูลทั่วไป หรือกำลังอยู่ในขั้นตอนตัดสินใจซื้อ ช่วยให้เราเข้าใจความต้องการและนำมาปรับแต่งในคอนเทนต์ SEO และเมื่อเนื้อหาของเราสอดคล้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย โอกาสในการติดอันดับหน้า SERP ก็เพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม Google ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ User Intent ว่าผู้ใช้แต่ละคนมีเส้นทางในการท่องโลกบน Search Engine ที่ไม่เหมือนกัน ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้คนสามารถควบคุมทุกอย่างได้ตามใจชอบ คนจึงคาดหวังคำตอบแบบทันท่วงที นอกจากนี้ยังพบว่ากว่าที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้ออะไรบางอย่าง มีโอกาสที่จะใช้เวลาค้นหาบน Search Engine นานถึง 2 เดือน ทีนี้คงเป็นหน้าที่ของฝั่ง SEO จะออกแบบเนื้อหายังไงให้สามารถมัดใจกลุ่มเป้าหมายและเกิดการตัดสินใจซื้อได้ในทันที
ทำความรู้จัก Search Intent ทั้ง 4 ประเภท
เมื่อความต้องการและความสนใจของแต่ละคนแตกต่างกัน รวมถึงเป้าหมายในการค้นหาที่ไม่เหมือนกัน ในฐานะคนทำ SEO ควรทำความเข้าใจเจตนาในการค้นหาแต่ละแบบ เพื่อนำมาปรับใช้ในเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตามหลักแล้ว Search Intent ถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภท จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน
1. Informational
ค้นหาเพื่อต้องการ “ข้อมูล” ที่เกี่ยวกับผู้คน สิ่งของ แบรนด์ สถานที่ หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาสนใจ ซึ่งจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นหรือเฉพาะเจาะจงก็ได้ ซึ่งกลุ่ม Keyword ที่จะมาพร้อมกับ Search Intent ประเภทนี้ได้แก่ อะไร ที่ไหน ทำไม อย่างไร หรือ คือ… เช่น SEO คืออะไร, ดอยเสมอดาว อยู่จังหวัดอะไร, ขนมปัง ทำยังไง เป็นต้น
2. Navigational
ค้นหาเพื่อต้องการ “ปลายทาง” ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จริงหรือที่อยู่เว็บไซต์ ส่วนใหญ่แล้วคนมักจะเซิร์ชชื่อแบรนด์ตรง ๆ เช่น Facebook, YouTube, SEMrush ในกรณีที่ค้นหาสถานที่อาจจะมี Keyword เพิ่มเติมอย่าง ใกล้ฉัน ที่อยู่ หรืออยู่ตรงไหน ตัวอย่างเช่น Pizza Company ใกล้ฉัน, KRAJANG Digital Agency อยู่ไหน
3. Commercial
ค้นหาเพื่อต้องการ “เปรียบเทียบหรือหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ” ในสินค้าและบริการที่พวกเขาสนใจ ก่อนตัดสินใจซื้อ หรือกำลังอยู่ในขั้นตอน Consideration ของ Customer Journey ซึ่งคำค้นหาที่เกี่ยวข้องก็จะมี รีวิว, ….ที่ดีที่สุด, อร่อย, ที่ไหนดี หรืออื่น ๆ ตัวอย่างเช่น กาแฟยี่ห้อไหนอร่อยที่สุด, จ้างบริษัทรับทำ SEO เจ้าไหนดี และ 10 โรงแรมในเซี่ยงไฮ้ที่ดีที่สุด
4. Transactional
ค้นหาเพื่อต้องการ “ซื้อ” สินค้าและบริการนั้นแล้ว และอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางสั่งซื้อ ราคา โปรโมชัน วิธีการจอง ตัวอย่างคำค้นหาเช่น จองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น, ซื้อ iPhone 16, เช่าคอนโดใกล้ mrt, โปรโมชัน BBQ Plaza Buffet เป็นต้น
นำ Search Intent มาปรับแต่งในเนื้อหาได้อย่างไรบ้าง
เลือกใช้ Search Intent Keyword ให้สอดคล้องกับเนื้อหา
- Informational เหมาะกับบทความให้ความรู้ทั่วไป อธิบายรายละเอียดของสินค้าและบริการ หรือวิธีการใช้งาน เป็นต้น
- Navigational เหมาะกับการทำหน้า Contact หรือหน้าหลัก (Home Page) สำหรับให้ลูกค้าติดต่อมาหาแบรนด์
- Commercial เหมาะกับบทความรีวิวสินค้าจาก Real Customer หรือสอนวิธีการเลือกซื้อสินค้า
- Transactional เหมาะกับหน้า Service, Product หรือบทความ Advertorial
แทรกลงไปใน Title Tag หรือ Meta Description
เช่น ต้องการเขียนบทความเกี่ยวกับ “เค้กใบเตย” โดยคนส่วนใหญ่มองหาสูตรและวิธีการทำ ก็ให้นำ Search Intent เหล่านั้นแทรกลงไปใน Meta Tag ด้วย เพื่อดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาอ่านเนื้อหาของเรามากขึ้น
- Title Tag: แจกสูตรทำเค้กใบเตยง่าย ๆ ด้วยตัวเอง พร้อมวิธีทำแบบละเอียดยิบ!
- Meta Description: ใครที่กำลังมองหาสูตรทำเค้กใบเตยอร่อย ๆ บทความนี้มาแจกวิธีทำเค้กฉบับมือใหม่หัดเข้าครัว ชั่งตวงส่วนผสมให้แล้ว ใครก็ทำตามได้ง่าย ๆ ไม่มีเตาอบก็ทำได้!
สรุป
การใช้ Keyword ที่ตรงกับ Search Intent และสอดคล้องกับธุรกิจของเรา จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ได้อย่างมาก เพราะว่า Google เองก็ต้องการแสดงผลลัพธ์ที่ตรงใจผู้ใช้มากที่สุดเช่นกัน เมื่อเนื้อหาของเราสามารถตอบคำถาม User ได้ ซึ่งต้องเป็นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และมีคุณภาพ เพราะในอนาคต Google จะมีการทำความเข้าใจความต้องการที่ซับซ้อนของ User มากขึ้น ถ้าเนื้อหาเขียนหวังอันดับเพียงอย่างเดียว อันดับของเว็บไซต์อาจไม่สูงขึ้นตามที่คิดไว้ก็ได้
