การทํา SEO คืออะไร สำคัญอย่างไร ควรเริ่มทำ SEO ตอนไหนถึงจะดีที่สุด

สำหรับธุรกิจไหนที่อยากให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น การทำ SEO คือสิ่งที่สามารถช่วยให้ธุรกิจถูกมองเห็นในหน้าแรกของ Search Engine และเพิ่มยอดขายสินค้าได้ด้วย
แชร์
SEO คืออะไร สำคัญอย่างไร

ในโลกดิจิทัลที่ทุกคนเข้าถึงสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ธุรกิจก็ต้องสร้างช่องทางสื่อของตัวเอง เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นและมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น ทั้งโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ ซึ่งบางคนอาจเคยได้ยินมาเหมือนกันว่า การทำ SEO นั้นช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น

บางคนอาจเคยได้ยินคำว่า SEM และอาจจะเข้าใจว่ามันเหมือนกับการทำ SEO แต่จริง ๆ แล้ว SEM (Search Engine Marketing) เป็นการทำตลาดบน Search Engine โดยการจ่ายเงินค่าโฆษณาหรือการทำ PPC (Paid Per Clicks) ส่วนใครที่ยังไม่รู้ว่าการทํา SEO คืออะไร แล้วการทำ SEO สําคัญอย่างไร บทความนี้กระจ่างจะมาไขข้อสงสัยให้ทุกธุรกิจว่าสรุปแล้วควรทำ SEO หรือไม่

  • SEO เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและปรากฏอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหา
  • กระบวนการทำ SEO มีทั้งการปรับแต่งเว็บไซต์ทั้งภายในและภายนอก รวมถึงปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ให้สะดวกต่อการใช้งานของ User
  • การทำ SEO ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ได้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเหมือนกับการทำโฆษณา และยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์อีกด้วย
เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ
    SEO คืออะไร

    SEO คืออะไร

    SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกระบวนการทางการตลาดรูปแบบหนึ่ง เป็นการปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมจนติดอันดับแรกของ Search Engine (เช่น Google, Bing, Yahoo) โดยเนื้อหานั้นต้องตอบโจทย์ความต้องการของคำค้นหา (Keywords) เพื่อให้สามารถตอบทุกคำถามหรือทุกปัญหาที่ Users สงสัยได้

    รวมถึงการปรับแต่งโครงสร้างของเนื้อหาและ Website ให้ใช้งานง่ายและเหมาะสมกับ Algorithm ของ Search Engine นั้น ๆ ซึ่งทุกการค้นหาจะไม่มีการเกี่ยวข้องกับเงิน แตกต่างจากการยิง Ads ที่จะติดอันดับดี ๆ ได้ก็ต่อเมื่อจ่ายเงินมากขึ้นนั่นเอง

    SEO มีกี่ประเภท?

    SEO ประเภทแรกคือการทำให้ Website ติดอันดับบนหน้า Google ที่เป็นความเข้าใจหลักของคนทั่วไป เพราะ Google ถือเป็นแพลตฟอร์มค้นหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หากเกิดข้อสงสัย Google ก็จะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของ Users ในการค้นหาคำตอบที่ต้องการ 

    ซึ่งคำว่า Search Engine นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ Google เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง Social Media เช่น YouTube, App Store, Facebook, TikTok หรือแม้กระทั่ง Google Maps/Apple Maps (ที่เราอาจจะคุ้นหูในคำว่า Local SEO) ก็ถือเป็นประเภทของการทำ SEO เช่นกัน โดยเราสามารถนำหลักการของ SEO ไป Apply กับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้นั่นเอง

    หลักการทำงานของ SEO ที่ส่งผลต่อการติด Ranking

    การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพและสามารถติดหน้าแรกของ Search Engine ได้นั้นต้องอาศัยการเขียนหรือปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ Users ซึ่ง Users ที่ว่านั้นมี 2 ประเภทหลัก ๆ คือ Robots และ บุคคลทั่วไป

    หลักการทำงานของ Robots เพื่อพิจารณาในการจัดอันดับเว็บไซต์

    1. Robots เข้ามา Crawl หรือตรวจสอบเนื้อหาบน Website ทั้งหมด
    2. Robots เอาเนื้อหา ไป Learning เพื่อทำความเข้าใจ Website และเนื้อหาว่าเกี่ยวกับอะไร 
    3. ต่อด้วย Indexing หรือการที่ Robots/Search Engine เอาเนื้อหาเราไปวางบน Search Result Pages
    4. ปิดท้ายด้วย Ranking หรือการจัดอันดับความเหมาะสมหรืออันดับบนหน้า Search Result Pages

    หลักการทำ SEO ให้ตอบโจทย์บุคคลทั่วไป

    Users กลุ่มนี้ก็คือบุคคลทั่วไปอย่างเรา ๆ ที่เมื่อมีคำถามอะไรก็จะค้นหาบน Search Engine เพื่อหาคำตอบ ซึ่งการทำ SEO ให้ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ คือการสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อตอบปัญหาให้กับพวกเขา รวมถึงสร้างประสบการณ์บนเว็บไซต์ที่ดี ด้วยการปรับแต่งเชิงเทคนิค 

    องค์ประกอบของ SEO

    4 ปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์ติด Rank หน้าแรกของ Search Engine

    1. Keywords: คือคำค้นหาที่ Users ใช้เวลาเกิดคำถามหรือข้อสงสัย เพื่อค้นหาคำตอบบน Search Engine แพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งจะรู้ได้ว่าผู้ใช้นั้นใช้ Keywords อะไรก็ต้องผ่านการทำ Keyword Research นั่นเอง
    2. SEO Content: การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงบนหน้าเว็บไซต์ ที่ตอบโจทย์ SEO และวัตถุประสงค์ทางการตลาด เนื้อหาต้องมีความสดใหม่ไม่ซ้ำใคร สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ E-E-A-T และยังรวมถึงการปรับแต่ง Title และ Meta Description อีกด้วย 
    3. On-Site SEO/On-Page SEO: การปรับแต่งบนหน้าเว็บไซต์ ได้แก่ การสร้างคอนเทนต์ที่มี Keyword สอดคล้องกับคำค้นหา โครงสร้างเนื้อหาที่เข้าใจง่าย รวมไปถึงการทำ Technical SEO หรือการปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ การให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีในทุก ๆ อุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน
    4. Off-Site SEO/Off-Page SEO: การทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์หรือที่คุ้นหูในชื่อ Backlink โดยการเขียนบทความที่มี Keyword ที่เกี่ยวข้องและนำไปโพสต์เว็บไซต์ที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูง เพื่อให้มี Traffic กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา

    วิธีการวัดผลหรือหัวใจสำคัญของผลลัพธ์ในการทำ SEO

    • Ranking: อันดับของเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาบน Search Engine แพลตฟอร์มต่าง ๆ ยิ่งอันดับสูงเท่าไหร่ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจมากขึ้น
    • Traffic: ยอดการเข้าชมเว็บไซต์ ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี ซึ่งจะยอดจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์สามารถให้คำตอบกับ Users ได้ดีแค่ไหน
    • Conversion: อาจจะเป็นการสมัครสมาชิก การสั่งซื้อสินค้า หรือการติดต่อเข้ามาหาแบรนด์ ที่ส่งผลต่อยอดขายของธุรกิจ เป็นผลพลอยได้ที่ได้จากการทำ SEO นั่นเอง
    องค์ประกอบของการตลาดออนไลน์

    SEO สําคัญอย่างไรกับการทำการตลาดในยุคปัจจุบัน

    อย่างที่รู้กันดีว่าปัจจุบันใครก็นิยมสั่งซื้อสินค้าและบริการทางออนไลน์ การทำเว็บไซต์ให้เปรียบเสมือนหน้าร้านออฟไลน์ให้คนเข้ามาเลือกชอปปิงได้ง่าย ๆ ก็ยังเป็นการทำการตลาดที่น่าสนใจ แต่บางคนอาจจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าทำ SEO แล้วได้อะไร ดีต่อการทำธุรกิจอย่างไร กระจ่างจะมาบอกต่อข้อดีของ SEO ให้เอง มาดูกันเลย

    เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ได้มากขึ้น

    เมื่อเว็บไซต์อยู่ใน Ranking ที่สูงขึ้นหรืออันดับต้น ๆ ของ Search Engine โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายและลูกค้าจะมองเห็นเว็บไซต์ของแบรนด์ก็จะเพิ่มสูงขึ้น ดึงดูดให้คนเข้ามาชมสินค้าและบริการ สามารถปิดขายในเว็บไซต์ได้เลยทันที ซึ่งจะช่วยให้ยอดขายของธุรกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

    ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ

    หลังจากที่ธุรกิจทำ SEO และปรากฏอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาแล้ว ผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่จะสนใจและมองว่าเว็บไซต์นี้มีคุณภาพ มีสินค้า บริการหรือสิ่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ไปในคราวเดียวอีกด้วย

    งบประมาณไม่สูงเท่ากับการทำโฆษณา

    แม้ว่าข้อเสียของ SEO คือต้องใช้ระยะเวลาและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการปรับแต่งเว็บไซต์ รวมไปถึงให้ Google มองเห็นและจัด Ranking ในหน้าผลการค้นหา แต่เมื่อเทียบในส่วนค่าใช้จ่ายแล้วก็ถือว่ายังไม่สูงเท่ากับการยิงโฆษณา และหากมีการปรับปรุงเว็บไซต์ตาม Google Algorithm อย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย

    ต้องทำ SEO นานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล

    การทำ SEO ให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนนั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน สำหรับเว็บไซต์ที่เพิ่งสร้างใหม่อาจใช้เวลามากกว่า 6 เดือน เพราะมีการแข่งขันสูง ทั้งในเรื่องของคุณภาพเนื้อหาและอันดับของ Keyword การทำ SEO จึงเหมือนการลงทุนในระยะยาว เมื่อเวลาผ่านไปเว็บไซต์ก็จะมียอด Traffic เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น ต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการพัฒนาและปรับปรุงเนื้อหาอย่างต่อเนื่องด้วย

    การทำ SEO เหมาะกับใคร

    • เหมาะกับคนที่ต้องการขยายธุรกิจ หรือต้องการให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาแบรนด์เจอบน Search Engine
    • เหมาะกับคนที่มี Website อย่างเช่น E-Commerce Website, Content Based Website
    • เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มช่องทางการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ให้กับกลุ่มลูกค้า

    นักธุรกิจหรือแบรนด์ควรทำ SEO ตอนไหนถึงจะดีที่สุด

    หลายคนอาจจะเข้าใจว่าต้องมีเว็บไซต์ก่อนถึงจะเริ่มทำ SEO ได้ แต่ความจริงแล้วกระบวนการทำ SEO นั้นสามารถเริ่มได้ตั้งแต่การออกแบบเว็บไซต์ โดยการวางแผนโครงสร้างและภาพรวมทั้งหมดว่าต้องการให้ User ทำอะไร UX/UI หน้าตาเป็นอย่างไร จะสร้างคอนเทนต์แบบไหนบนเว็บไซต์บ้าง เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้หากเราวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณได้มากเลยทีเดียว

    เครื่องมือการทำ SEO มีอะไรบ้าง (ทั้งฟรีและมีค่าใช้จ่าย)

    Google Search Console

    มือใหม่ที่อยากทดลองเครื่องมือฟรีที่ใช้งานง่ายและมีฟีเจอร์ค่อนข้างครบครัน Google Search Console เป็นเครื่องมือของ Google ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลบนเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น รายงานยอดเข้าชมเว็บไซต์แบบที่ไม่เสียค่าโฆษณา (Organic), ตรวจสอบ Core Web Vitals, เช็กสถานะ Indexing และอีกมากมาย

    Google Analytics

    โปรแกรมสำหรับการวิเคราะห์เว็บไซต์และเก็บข้อมูลผู้ชมโดยเฉพาะ โดย Google Analytics สามารถดูได้ว่าคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์คือใคร เพศอะไร อายุเท่าไหร่ อาศัยอยู่ที่ไหน ช่องทางเข้าถึงเว็บไซต์คืออะไร เดสก์ท็อปหรือสมาร์ทโฟน และช่วยให้ทราบถึงพฤติกรรมของผู้ชมว่าอยู่หน้าเว็บไซต์นานแค่ไหน นำไปวางแผนการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กับผู้ชมมากขึ้น ซึ่งใช้แค่เวอร์ชันฟรีก็เพียงพอแล้ว

    Google Tag Manager

    Google Tag Manager เป็นโปรแกรมสำหรับการทำ Tracking หรือวัด Performance ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ ติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ตอนที่กดคลิกที่ปุ่ม CTA หรือเลื่อนหน้าเว็บไซต์ เป็นต้น ทำให้มองเห็น Customer Journey อย่างละเอียด สามารถนำมาวางแผนต่อยอดการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ได้

    Google Keyword Planner

    สำหรับ Google Keyword Planner หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเครื่องมือที่เอาไว้ยิงโฆษณาอย่างเดียว แต่มันก็สามารถใช้ค้นหา Keyword ได้เช่นกัน โดยสามารถดู Search Volume และคำค้นหาใกล้เคียง เพื่อเอามาวางแผนการทำคอนเทนต์ SEO และหา Keyword Idea

    Page Speed Insights

    ต่อกันที่ Page Speed Insights เอาไว้สำหรับตรวจสอบความเร็วของ Website รวมถึง Performance เกี่ยวกับ Core Web Vitals ทั้ง 3 ตัวว่ามีสถานะเป็นอย่างไร รวมถึงประสบการณ์ของผู้ใช้ทั้งบนเดสก์ท็อปและสมาร์ทโฟน

    Keywordtool.io

    อีกเครื่องมือที่ถือว่าเป็นทีเด็ดสำหรับการหา Keyword ได้แก่ Keywordtool.io เป็นเครื่องมือที่สามารถค้นหาคีย์เวิร์ดได้หลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Google, YouTube, X (Twitter), TikTok และอีกหลายช่องทาง โดยจะแนะนำ Long-tail Keyword ที่คนนิยมเซิร์ชขึ้นมาด้วยเช่นกัน

    ahrefs

    เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทำ SEO โดยเฉพาะ ใช้สำหรับวิเคราะห์ภาพรวมทั้งหมดของเว็บไซต์ ที่มีฟีเจอร์เจ๋ง ๆ มากมายครบในที่เดียว เพื่อช่วยให้เราสามารถปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ตอบโจทย์ Search Engine มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Ahrefs Backlink Checker, Ahrefs Broken Link Checker, Ahrefs Keyword Generator, SERP Checker และอีกมากมาย

    • ราคา: เริ่มต้นที่ $129 / เดือน (ประมาณ 4,291 บาท)

    SE-Ranking

    เครื่องมือสำหรับตรวจเช็กอันดับเว็บไซต์บน Search Engine สามารถเช็กหลาย Keyword ได้พร้อม ๆ กันและติดตามผลได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังสามารถระบุจุดผิดพลาดบนเว็บไซต์ ตรวจสอบ Backlinks และการทำ Keyword Research เป็นโปรแกรมที่ราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่มีมาให้

    • ราคา: เริ่มต้นที่ $52 / เดือน (ประมาณ 1,728 บาท)

    Screaming Frog

    คือเครื่องมือสแกนหรือ Crawl ภาพรวมของเว็บไซต์ โดยสามารถดูลิงก์เสีย หน้าเพจที่มีปัญหา ตรวจสอบ Javascript, Backlinks, Direct Links รวมถึง Title และ Meta Description ว่ายาวเกินไปหรือไม่ และยังสามารถตรวจเช็กได้ว่า Robot เข้ามาบล๊อกลิงก์ของเราไปหรือเปล่า ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถดาวน์โหลดลงคอมพิวเตอร์ได้เลย มีทั้งรูปแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย

    • ราคา: $199 / ปี (ประมาณ 6,614 บาท)

    SEO Mofo

    เป็นเครื่องมือที่ใช้เช็กความยาวของ Title, URLs และ Meta Description ว่ามีความยาวมากเกินไปหรือเปล่า เพราะความยาวนั้นส่งผลต่อการแสดงผลบน Search Engine ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถเข้าใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ 

    Detailed SEO

    เป็นอีกโปรแกรมที่ใช้งานได้ฟรีและง่ายมาก ๆ เครื่องมือเอาไว้ตรวจสอบทั้งจำนวนคำ, Title และ Meta Description ว่าความยาวเหมาะสมหรือไม่ จำนวนคำมากไปหรือเปล่า อีกทั้งยังสามารถดูโครงสร้างเว็บไซต์ทั้งหมด (H1, H2, H3) ทั้งของตัวเองและคู่แข่งว่ามีการวางทิศทางเนื้อหาแบบไหน 

    MST SERP Counter

    MST SERP Counter เป็นเครื่องมือเอาไว้เช็กอันดับเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว โดยเมื่อเราเซิร์ชข้อมูลบางอย่างบน SERP ก็จะมีอันดับของแต่ละเว็บไซต์ขึ้นมาในหน้าแสดงผลการค้นหาด้วย สามารถตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ได้แบบเรียบไทม์ เพื่อดูปัจจุบันเว็บไซต์ของเราและคู่แข่งนั้นอยู่ที่เท่าไหร่

    สรุป

    เท่านี้ก็พอจะมองเห็นภาพแล้วว่าการทำ SEO สําคัญอย่างไรกับโลกดิจิทัลในปัจจุบัน ในฝั่งธุรกิจก็จะมีคนเยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนจากผู้ชมเป็นลูกค้าและปิดการขายบนเว็บไซต์ ส่วนในฝั่งลูกค้าก็จะเกิดความไว้วางใจในตัวแบรนด์ จากความน่าเชื่อถือของเนื้อหาและอันดับของเว็บไซต์ที่อยู่ใน Ranking ต้น ๆ ดังนั้นการทำ SEO จึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหน้าใหม่หรือหน้าเก่าก็ควรให้ความสำคัญ

    แล้วหากคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่เป็นเพื่อนคู่คิดในการทำ SEO ให้กับแบรนด์ “กระจ่าง” Digital Marketing Agency พร้อมจะขับเคลื่อนธุรกิจไปกับคุณ วางแผนและวิเคราะห์แผนการทำ SEO ด้วย Data-Driven ที่เหมาะกับธุรกิจ และให้บริการคุณแบบ One-Stop Service โดยคนรุ่นใหม่ที่มากด้วยประสบการณ์ อยากให้ธุรกิจนำหน้าเหนือคู่แข่ง อย่ารอช้าติดต่อหาเราได้เลย!

    Picture of krajang
    krajang

    บทความแนะนำ

    สำหรับธุรกิจไหนที่อยากให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น การทำ SEO คือสิ่งที่สามารถช่วยให้ธุรกิจถูกมองเห็นในหน้าแรกของ Search Engine และเพิ่มยอดขายสินค้าได้ด้วย
    852
    แชร์
    ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้เป็นสิ่งที่ควรทำเว็บไซต์ควรใส่ใจ โดยการปรับปรุงเชิง Technical SEO เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์และช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาคำตอบได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
    778
    แชร์
    เว็บไซต์ติดหน้าแรกง่าย ๆ ด้วยการสร้างบทความ SEO ที่มีคุณภาพและไม่เพียงแค่ต้องทำให้ Robots เข้าใจเนื้อหา แต่ฝั่ง User ที่เป็นบุคคลทั่วไปต้องได้คำตอบที่กำลังตามหาอีกด้วย
    766
    แชร์

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า