สำหรับธุรกิจที่ทำ SEO มาสักพัก แต่ก็ยังรู้สึกว่ายอดขายยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะลืมใส่ใจถึงประสบการณ์ของลูกค้าไป ซึ่งการทำ SXO หรือ Search Experience Optimization นั้นสามารถช่วยอุดปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ว่าแต่ SXO คืออะไร แล้ว SXO ต่างจาก SEO อย่างไร มาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันเลย!
KRAJANG Summary
- SXO เป็นการรวม SEO กับ UX เข้าด้วยกัน โดย SXO จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ ในขณะที่ SEO จะให้ความสำคัญกับอันดับของเว็บไซต์มากกว่า
- ขั้นตอนการทำ SXO ให้ได้ผล ได้แก่ การเข้าเนื้อหาให้เร็วที่สุด มีการทำ CTA เพื่อให้เกิดการซื้อขายบนเว็บไซต์ รวมไปถึงการทำให้หน้าตาเว็บไซต์เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก
- การทำ SXO ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจอย่างมั่นคง เพราะเว็บไซต์สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม
SXO คืออะไร
SXO ย่อมากจาก Search Experience Optimization มาจากการรวมกันของ SEO และ UX (User Experience) เป็นกระบวนปรับแต่งเว็บไซต์ตามหล้ก SEO ให้ตอบโจทย์และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน ให้พวกเขามีปฎิสัมพันธ์กับเว็บไซต์มากขึ้น ด้วยการทำ CRO ผ่านปุ่ม Call-to-Action เพื่อให้เกิด Conversion Rate บนเว็บไซต์
SXO จะเข้ามาช่วยแก้ไขทุกปัญหาที่ผู้ใช้งานเคยพบ ไม่ว่าจะเป็น หน้าตาเว็บไซต์อ่านยาก เว็บไซต์โหลดช้า ไม่ทันใจ หรือถ้าในฝั่งแบรนด์อาจจะเจอปัญหาค่า Bounce Rate สูง คนเข้ามาเว็บไซต์แล้วกดปิดทันที หรือ Session Duration ต่ำมาก ดังนั้น จึงต้องเอานำจุดอ่อนเหล่านี้มาปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้พวกเขาอยู่ในหน้าเว็บไซต์นาน ๆ
ไขข้อสงสัย! สรุปแล้ว SXO ต่างจาก SEO อย่างไร
หลังจากที่ทำความเข้าใจความหมายของ SXO แล้ว บางคนอาจรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างจากการทำ SEO มากนัก ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้ง 2 อย่างนี้มีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน
วัตถุประสงค์
- SXO: มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้และการเพิ่มอันดับในหน้าค้นหา
- SEO: เน้นไปที่อันดับของเว็บไซต์เป็นหลัก
ตัวชี้วัด (KPI)
- SXO: วัดจาก Engagement Rate, Conversion Rate, Average Time on Page, Session Duration และ Bounce Rate
- SEO: วัดผลลัพธ์จากอันดับของเว็บไซต์ (Ranking), Traffic, คุณภาพและจำนวนของ Backlink เป็นต้น
เนื้อหาบนเว็บไซต์
- SXO: สร้างเนื้อหาที่ตอบสนองความต้องการหรือเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้
- SEO: มีการแทรก Keyword ลงไปในเนื้อหา เพื่อช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์
อยากเริ่มต้นทำ SXO ต้องทำอย่างไรบ้าง
โดยหลัก ๆ แล้วการทำ SXO นั้นเหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ เพราะต้องทำความเข้าใจตัวลูกค้าว่าพวกเขากำลังมองหาอะไร เนื้อหาแบบไหนถึงจะถูกใจ เพื่อให้สามารถออกแบบเว็บไซต์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนการทำ SXO ในฉบับเบื้องต้นมีดังต่อไปนี้
เข้าเว็บไซต์แล้วเจอเนื้อหาเลยทันที
ไม่ต้องเกริ่น Intro ยาวจนเกินไปหรือมีการสรุปเนื้อหาแบบสั้นกระชับไว้ตั้งแต่ต้น ๆ หน้าเพจ เพื่อให้พวกเขาได้คำตอบในทันที ถ้าสนใจก็อาจจะเลื่อนลงมาเพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม วิธีนี้ช่วยลดการเกิด Bounce Rate จากการเลื่อนหาข้อมูลไม่เจอหรือไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
เน้นการทำ CTA เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ
มีการทำ CTA (Call-to-Action) เช่น ปุ่มสั่งซื้อสินค้า กดสินค้าลงตะกร้า ติดต่อผ่านไลน์ทันที เป็นต้น เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการกระทำบางอย่างไปสู่การปิดการขาย รวมไปถึงการบอกรายละเอียดสินค้าชัดเจน แต่สั้นและกระชับ ได้แก่ ราคา วิธีการใช้งาน จำนวนสี ขนาด เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
หน้าตาเว็บไซต์อ่านง่าย
แม้ว่าจะทำตามขั้นตอนข้างต้นไปหมดแล้วแต่มาตายตรงที่หน้าตาเว็บไซต์ไม่สวย ใช้ฟอนต์ที่อ่านยาก สระลอย หรือจัดวางเนื้อหากระจาย ไม่เป็นระเบียบ แบบนี้ใครเข้ามาเห็นก็อยากกดปิด ดังนั้น ควรใส่ใจในการออกแบบ UI โดยการเลือกสีที่สบายตา ขนาดฟอนต์ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป มีลิงก์เชื่อมไปยังหน้าต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกต่อการค้นหา
เว็บไซต์โหลดเร็ว
โดยสถิติแล้วควรให้เว็บไซต์โหลดเสร็จภายใน 3 วินาที เพื่อป้องกันผู้ใช้งานเกิดความหงุดหงิดและเลือกไปหาเว็บไซต์อื่นแทน ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงการโหลดรูปภาพบนเว็บไซต์อีกด้วย อย่าลืมตรวจสอบว่ารูปสินค้าและบริการของเรานั้นโหลดขึ้นหรือไม่ ไม่งั้นอาจทำให้ยอดขายที่กำลังจะเกิดขึ้นหลุดลอยไปได้ในทันที
การทำ Search Experience Optimization สำคัญต่อโลกธุรกิจอย่างไร
อย่างที่เกริ่นไปว่า การทำ SXO เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ เพื่อให้พวกเขารู้สึกประทับใจและรู้สึกว่าเว็บไซต์นี้มีสิ่งที่พวกเขากำลังตามหา และเมื่อลูกค้าพอใจก็ย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจด้วยเช่นกัน ข้อดีของ SXO สำหรับฝั่งธุรกิจมีอะไรบ้างนั้น มาดูกัน
เพิ่มอันดับในหน้าค้นหา
เนื้อหาที่สั้นและกระชับ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในยุคที่มีข่าวสารมากมายให้คนเสพทุกวัน ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเสียเวลามาอ่านเนื้อหาที่เวิ่นเว้อ สาธยายจนไม่ได้ใจความ การทำ SXO ช่วยให้คนอยู่ที่หน้าเว็บไซต์ของเรานานขึ้น เพราะได้คำตอบที่ชัดเจน ตรงจุด เปิดเข้ามาแล้วหาเจอทันที ส่งผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ อีกทั้งช่วยให้ Google รับรู้ว่าเนื้อหาของเรามีประโยชน์และมีคุณภาพอีกด้วย
เพิ่มโอกาสในเปลี่ยนจากผู้ชมเป็นลูกค้า
เพราะการสร้างประสบการณ์บนเว็บไซต์ที่ดี จะช่วยเพิ่มความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้กับผู้ชม เช่น เว็บไซต์ใช้งานง่าย บอกรายละเอียดหรือเนื้อหาชัดเจน จัดวางเนื้อหาเป็นสัดส่วนได้ดี ในแง่ของการทำ CTA ก็อาจมีปุ่มกดสินค้าลงตะกร้าและสามารถจ่ายเงินได้อย่างรวดเร็ว ความสะดวกเหล่านี้สามารถเปลี่ยนพวกเขาเป็นลูกค้าและตัดสินใจซื้อสินค้าของแบรนด์ในที่สุด
สรุป
ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่าย ๆ SEO ก็เหมือนการมีทำเลหน้าร้านที่ดี แต่ SXO คือการบริการที่ใส่ใจของพนักงานและการจัดวางสินค้าที่เป็นสัดเป็นส่วน ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ก็จะเกิดการบอกต่อและมีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำสูง ในที่นี้ก็จะช่วยเพิ่มยอด Traffic ให้กับเว็บไซต์เช่นกัน
ข้อเสีย SXO อาจจะอยู่ที่ว่าไม่ได้มีสูตรการทำ SXO ตายตัว เพราะเป็นการศึกษาถึงพฤติกรรมของลูกค้าเป็นหลัก และกลุ่มเป้าหมายก็เป็นคนหลากหลายรูปแบบ ทำให้ยากต่อการทำความเข้าใจ แต่ถ้าเราทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแล้ว ก็จะสามารถเพิ่มได้ทั้งยอดขายและอันดับของเว็บไซต์อย่างยั่งยืน