รูปแบบการทำ SEO ที่ทุกคนรู้จักกันดีคือการทำ On-Page SEO และ Off-Page SEO ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และอีกหนึ่งเบื้องหลังในการจัดอันดับให้กับเว็บไซต์ของเราก็คือ การทำ Technical SEO หรือตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ Technical SEO คืออะไร พื้นฐานสำคัญของ Technical SEO คืออะไร มาดูกันเลย
KRAJANG Summary
- Technical SEO คือการปรับปรุงโครงสร้างทั้งหมดของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น การแสดงผลบนหน้าจอมือถือ, ความเร็วของเว็บไซต์ หรือการเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้
- การวางแผนผังเว็บไซต์ที่เป็นระเบียบ จะช่วยให้ Google Bot ตรวจสอบและเข้าใจเนื้อหาได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา
- ปัจจุบัน Core Web Vitals มีด้วยกันทั้งหมด 3 หลักเกณฑ์ ได้แก่ LCP, CLS และ INP ที่ใช้แทนหลักเกณฑ์ตัวเก่าอย่าง FID
Technical SEO คืออะไร
Technical SEO คือการปรับปรุงโครงสร้างต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ เพื่อให้ Google Bot ตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ของเรา นำไปพิจารณาจัดอันดับในหน้า Search Engine ต่อไป รวมถึงช่วยให้ผู้ใช้ที่เป็นคนทั่วไปสามารถค้นหาคำตอบได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
Technical SEO มีกี่ประเภท
- On-Page SEO คือ การปรับแต่งทุกอย่างที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ ได้แก่ การสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูง (SEO Content), การตั้งค่า Title และ Meta Description ที่ตรงประเด็น, โครงสร้างเนื้อหา (Content Structure) ที่สะดวกต่อการจัดเก็บข้อมูล และช่วยให้คนเข้ามาอ่านเนื้อหาง่ายขึ้น
- ส่วนการทำ Off-Page SEO คือ การทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์หรือที่คุ้นหูในชื่อ Backlink โดยการเขียนบทความที่มี Keyword ที่เกี่ยวข้องและนำไปโพสต์เว็บไซต์ที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูง เพื่อให้มี Traffic กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา
Technical SEO สำคัญอย่างไร ทำไมต้องทำ
เพราะการมีเว็บไซต์ก็เหมือนการมีหน้าร้านในโลกออนไลน์ แต่การทำ Technical SEO เหมือนเป็นการหาทำเลทองให้กับร้านของเรา หรือก็คืออันดับเว็บไซต์ในหน้าค้นหา ส่วนหน้าตาของร้านก็คือหน้าตาของเว็บไซต์ ถ้าลูกค้าเข้ามาแล้วเห็นว่าเนื้อหาในเว็บไซต์กระจัดกระจาย และไม่มีสิ่งที่พวกเขาต้องการ ก็กดออกและไปเลือกซื้อสินค้าจากร้านอื่น ๆ แทน ทำให้เราเสียยอดขายไปโดยปริยาย
ขั้นตอนการทำ Technical SEO ฉบับพื้นฐาน มีอะไรบ้าง
เพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดี รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด ต้องมีการปรับปรุงหลังบ้านและพัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ บทความนี้กระจ่างมาบอกเทคนิคการปรับปรุง Technical SEO เบื้องต้นจะมีอะไรที่เราต้องสนใจบ้าง มาดูกัน
เพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ (Security)
- SSL Connections หรือ HTTPs Certificate เป็นใบรับรอง SSL ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ ป้องกันการถูกปลอมแปลงเป็นเว็บไซต์ปลอม และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับ User ว่าจะไม่ถูกแฮ็กข้อมูลส่วนตัวจนเกิดความเสียหาย
- Website Hosting Firewall การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ ป้องกันการถูกขโมยข้อมูล
การรวบรวมข้อมูลในหน้าเว็บ (Crawlability)
- Page Speed ระยะเวลาโหลดหน้าเว็บไม่ควรเกิน 3 วินาที สามารถแก้ไขได้ด้วยการบีบอัดไฟล์ให้ขนาดเล็กลง, ลดขนาดไฟล์ HTML, ลบ JavaScript และ Plug-in ตัวที่ไม่จำเป็นออกไป
- Core Web Vitals เป็นชุดเครื่องมือสำหรับวัดประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience) ได้แก่ LCP ความเร็วในการดาวน์โหลดเนื้อหา, INP การตอบสนองของเว็บไซต์ (แทนที่ FID) และ CLS ความเสถียรของ Layout บนเว็บไซต์
- Website Structure เป็นการวางแผนผังว่ามีหน้าอะไรบนเว็บไซต์บ้าง แต่ละหน้าเชื่อมโยงกันอย่างไร ช่วยให้ Bot เข้าใจได้ง่ายขึ้นและเก็บเว็บไซต์ของเราไว้ในฐานข้อมูล เมื่อมีคนค้นหาก็จะแสดงผลเป็นเว็บไซต์ของเราขึ้นมานั่นเอง
- Robots.txt ไฟล์ที่เอาไว้บอก Robots บอกว่าต้องการให้เก็บข้อมูลที่เพจไหน คอนเทนต์ไหนบ้าง รวมถึงกันไม่ให้เข้าถึงและจัดเก็บดัชนี (Index) ในหน้าที่เราไม่ต้องการ
- JavaScript Website Based สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ด้วยเขียนเว็บไซต์ด้วย Javascript ที่เป็นมิตรกับ Google เพราะ Robots เข้ามาจัดเก็บข้อมูลและนำไปแสดงผลได้ง่าย
การทำดัชนีเว็บไซต์ (Indexability)
- URL Status Code เป็นโค้ดสำหรับแสดงสถานะของ Server หรือ HTTPS ว่าตอบสนองไหม หรือเกิดปัญหาอะไร ช่วยให้เราสามารถแก้ไขได้ตรงจุด (ที่เราเจอกันบ่อย ๆ อย่าง 404 File Not Found)
- Canonical Tag เป็นเครื่องมือเอาไว้บอก Search Engine ว่า URL ใดคือหน้าหลักของเว็บไซต์ ป้องกันปัญหาการแสดงเนื้อหาซ้ำซ้อนบนผลการค้นหา
- XML Sitemap เป็นเครื่องมือนำทางให้ Google สามารถค้นหาและรวบรวมข้อมูลในหน้าต่าง ๆ ได้ทั้งหมดและรวดเร็วขึ้น
- Responsiveness (Mobile Friendly) ออกแบบเว็บไซต์สำหรับใช้งานบนมือถือโดยเฉพาะ (มี m. อยู่หน้าลิงก์เว็บไซต์) หรือทำเป็น Responsive Web ก็ได้เช่นกัน
Onsite Contents & Meta Elements
- Page Title & Meta Description การปรับแต่งชื่อเรื่องและคำบรรยายให้สอดคล้องกับเนื้อหาข้างใน และมี Keyword ที่เกี่ยวข้อง
- Heading Tag Structure การวางหัวข้อเนื้อหาให้เป็นระบบ เพื่อแยกหัวข้อย่อยในหน้าเว็บไซต์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถอ่านเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- Image Alt Tag การใส่ข้อความอธิบายรูปภาพที่แสดงบนเว็บไซต์ เพิ่มโอกาสการมองเห็นในกรณีที่คนค้นหาด้วยรูปภาพได้อีกด้วย
- Schema Markup โค้ดชุดหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มเนื้อหาหรือข้อมูลให้เว็บไซต์ ช่วยให้ Search Engine ทำความเข้าใจสะดวกขึ้น และเพิ่มโอกาสในแสดงผลเป็นอันดับแรก ๆ ของ SERP
แจกเครื่องมือสำหรับทำ Technical SEO เบื้องต้น
การตรวจเช็กและวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและค้นหาจุดบกพร่องในหน้าเว็บไซต์ของเรา โดยบทความนี้รวบรวม 3 เครื่องมือสำหรับ Technical SEO ซึ่งมีทั้งฟรีและเสียค่าใช้จ่าย เพื่อปลดล๊อกฟีเจอร์ต่าง ๆ เพิ่มเติม
Ahrefs
เป็นโปรแกรมสำหรับตรวจสอบการทำงานและวิเคราะห์ภาพรวมของเว็บไซต์ ว่ามีจุดไหนหรือหน้าเพจไหนที่ต้องปรับปรุงเพิ่มเติมบ้าง สามารถดูได้ทั้งเว็บไซต์ของเราและคู่แข่ง เพื่อนำกลยุทธ์มาพัฒนาและต่อยอดให้ดีกว่า นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ Backlinks, ติดตาม Ranking ของ Keyword และมีเครื่องมือช่วยทำ Keyword Research ด้วย
PageSpeed Insights
เป็นเครื่องมือสำหรับการทำ Technical SEO ฟรีจาก Google ที่เอาไว้เช็กความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ ทั้งการแสดงผลบนคอมพิวเตอร์และมือถือ โดยจะมีการกำหนดคะแนนเอาไว้ด้วยว่า คะแนนเท่าไหร่คือดี ปานกลาง หรือแย่ ตั้งแต่ 0-90 พร้อมแนะนำว่ามีอะไรที่เว็บไซต์ควรปรับปรุงเพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
WebPageTest
เป็นเครื่องมือทดสอบความเร็วของเว็บไซต์ที่สามารถใช้งานได้ฟรี โดยสามารถวาง URLs เพื่อทดสอบได้เลย ผลลัพธ์การวิเคราะห์ทำได้ละเอียด รวมถึงสามารถเปรียบเทียบได้ทั้งการแสดงผลบนมือถือและเดสก์ทอปอีกด้วย
Google Search Console
เป็นโปรแกรมช่วยวิเคราะห์และรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ เช่น พบสแปมหรือมีหน้าเพจที่ควรปรับปรุงเนื้อหา นอกจากนี้ Google Search Console ยังมีบริการที่สามารถตรวจสอบเว็บไซต์ได้แบบครบวงจร ได้แก่ รายงานการเข้าชมเว็บไซต์, เช็กการเก็บข้อมูลจากหน้าเพจ (Indexing), ส่ง Sitemap ให้ Google Bot ตรวจสอบ รวมไปถึงการตรวจเช็ก Core Web Vitals
SE Ranking
เครื่องมือเช็กอันดับเว็บไซต์ (Ranking) และอันดับของคีย์เวิร์ด ซึ่งสามารถติดตามผลได้ตลอดเวลาและเช็กได้หลายคีย์เวิร์ดในเวลาเดียวกัน ออกแบบมาเพื่อเว็บไซต์ธุรกิจขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ เพราะมีเครื่องมืออื่น ๆ ให้ใช้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Backlink Monitor, SEO Competitive Research หรือ Marketing Plan
Screaming Frog
เป็น Tools ที่สามารถติดตั้งโปรแกรมลงบนคอมพิวเตอร์ได้เลย ซึ่งมีฟีเจอร์น่าสนใจมากมาย เช่น รวบรวมข้อมูลทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่บนเว็บไซต์ เพื่อสแกนหาจุดที่ต้องพัฒนาอย่างลิงก์เสีย URLs ทำงานผิดปกติ เช็กว่าความยาวของ Title และ Meta Description ยาวเกินจำนวนคำที่กำหนดหรือไม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ถือเป็นเครื่องมือสำหรับทำ Technical SEO ที่ละเอียดและควรทดลองใช้
สรุป
การสร้างหน้าร้านออนไลน์ที่ใช้งานง่าย เป็นระเบียบ และรวดเร็วนั้นย่อมได้เปรียบกว่าใคร ทำให้กระบวนการ Technical SEO เป็นสิ่งที่นักพัฒนาเว็บไซต์ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและแก้ไขทุกปัญหาอย่างทันท่วงที เพื่อรักษาประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ ให้สามารถใช้งานบนเว็บไซต์ของเราได้นาน ๆ จนเกิดการซื้อขายบนเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการรักษาอันดับที่ดีในหน้าผลการค้นหาด้วยเช่นกัน