แต่ละวันมีลูกค้ามากมายเกิดคำถามและหาคำตอบบน Seach Engine แทบจะตลอดเวลา Seach Engine จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางการทำการตลาดที่นักธุรกิจไม่ควรมองข้าม และถ้าสามารถทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกและขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ของการค้นหาได้ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ด้วย SEO และ SEM แล้ว SEO กับ SEM คืออะไร แตกต่างกันตรงไหนบ้าง
KRAJANG Summary
- หลายคนเข้าใจว่า SEM คือคำที่เอาไว้เรียกแค่การยิงโฆษณา แต่จริง ๆ เป็นร่มใหญ่ที่หมายถึงการทำการตลาดบน Search Engine ซึ่งรวมถึงการทำ SEO ด้วย
- SEM จะแสดงผลบนหน้า SERP ทันทีใน 24 ชั่วโมง มีความน่าเชื่อถือน้อยเพราะมีคำว่า Ads หรือได้รับการสนับสนุนขึ้นกำกับไว้ แต่เห็นผลเร็วกว่าการทำ SEO ที่ต้องเวลาอย่างน้อย 90 วัน
- การทำ SEM เหมาะกับสินค้าและบริการที่ซื้อขายง่าย ๆ เพราะคนไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจซื้อนาน
รู้จัก SEO กับ SEM กลยุทธ์การตลาดที่ไม่ควรมองข้าม!
ธุรกิจไหนที่กำลังเพิ่มช่องทางการขายสินค้าบนเว็บไซต์ แน่นอนว่าต้องทำการตลาดบน Search Engine เพื่อดึงดูดให้คนมองเห็นและเพิ่มการเข้าถึงแบรนด์ในระยะยาว สำหรับใครที่สับสนว่า SEO กับ SEM นั้นเหมือนกันหรือไม่ เรามาเริ่มทำความรู้จักทั้งสองกลยุทธ์นี้กันก่อนเลย
SEO (Search Engine Optimization)
SEO คือ เป็นกระบวนการปรับปรุงเนื้อหาทั้งหมดในเว็บไซต์ให้เหมาะสม และสามารถติดอันดับค้นหาในหน้า Search Engine ไม่ว่าจะบน Google, Yahoo หรือ Bing โดยเนื้อหาต้องคำค้นหาหรือ Keyword ที่บ่งบองความต้องการและสามารถแก้ปัญหาให้กับ User ได้
SEM คืออะไร สําคัญอย่างไรบ้าง
หลายคนเข้าใจผิดว่า SEM คือการยิงแอดเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้ว Search Engine Marketing คือ การทำการตลาดบน Search Engine ที่ครอบคลุมถึงการทำ SEO ตามความหมายข้างต้น และการทำ Paid Per Click (PPC) ที่เราคุ้นหูในคำว่า ยิง Google Ads ที่เป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาบน Google ซึ่งถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ SEO หนึ่งในวิธีการของ SEM นั่นเอง
ซึ่งการทำ PPC จะช่วยให้เว็บไซต์แสดงผลเป็นอันดับแรกของการค้นหา เพิ่มโอกาสมองเห็นแบรนด์ เพิ่มโอกาสปิดการขายและเห็นผลเร็วกว่าการทำ SEO เพียงแต่ต้องใช้เงินในการประมูลโฆษณา
เปรียบเทียบความแตกต่างของ SEO กับ PPC
ทั้งการทำ SEO และ PPC มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ SERP และต้องใช้ Keyword ในการวางโครงสร้างเนื้อหาและกำหนดรูปแบบการทำ PPC แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ ดังนี้
หลักการทำงาน
- PPC: เป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาผ่านเครื่องมือ Google Ads เพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลเป็นอันดับแรกในหน้า SERP ช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ได้
- SEO: เป็นการปรับแต่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เหมาะสมและตรงความต้องการของ User ที่เป็นคนทั่วไปและ Robots ที่เข้ามาเก็บข้อมูล เพื่อนำไปจัดอันดับเว็บไซต์
ระยะเวลาเห็นผลลัพธ์
- PPC: หากโฆษณาผ่านการตรวจสอบแล้ว จะแสดงผลภายใน 24 ชั่วโมงทันที รวมถึงสามารถกดเลือกวัน เวลาที่ต้องการแสดงผลได้ด้วย แต่ถ้าตั้งค่าผิดพลาดหรือใส่งบประมาณต่ำเกินไป ก็มีโอกาสที่โฆษณาจะไม่แสดงผลได้เช่นกัน
- SEO: การที่อันดับเว็บไซต์จะไต่ขึ้นเรื่อย ๆ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 – 6 เดือน ด้วยปัจจัยหลายอย่างทั้งคุณภาพของเนื้อหา การปรับปรุงเว็บไซต์เชิง Technical แต่คนสามารถเห็นเว็บไซต์บน Seach Engine ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องยิงโฆษณา
การติดอันดับในหน้า SERP
- PPC: เป็นการติดอันดับในระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อโฆษณาสิ้นสุดแคมเปญหรือใช้เงินโฆษณาจนหมด ตัว PPC ก็จะหายไปเลยทันที
- SEO: ติดอันดับในระยะยาวกว่า PPC แต่ต้องอาศัยการปรับแต่งเนื้อหา โครงสร้างเว็บไซต์ให้เสถียร และอัปเดตตาม Algorithm อยู่เรื่อย ๆ
ความน่าเชื่อถือต่อผู้อ่านทั่วไป
- PPC: แม้ว่าจะแสดงเป็นอันดับแรกของผลการค้นหา แต่มีความน่าเชื่อถือที่ค่อนข้างน้อย เพราะจะมีคำว่า Ads หรือ ได้รับการสนับสนุน ขึ้นมาด้วย ทำให้คนบางกลุ่มอาจไม่อยากกดเข้ามาอ่าน
- SEO: เมื่อคนเห็นเว็บไซต์ขึ้นมาเป็นอันดับแรก ๆ โดยที่ไม่ใช้การโฆษณา ก็จะรู้สึกว่าเว็บไซต์นั้นมีความน่าเชื่อถือ เนื้อหามีคุณภาพ และมีคำตอบที่พวกเขาต้องการอยู่ ทำให้อยากคลิกเข้ามาอ่านมากขึ้น
ค่าใช้จ่าย
- PPC: เสียค่าใช้จ่ายก็ต่อเมื่อมีคนกดคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ โฆษณาเป็นระบบประมูล ราคาอาจสูงขึ้นเมื่อคู่แข่ง Bid เพิ่มเยอะขึ้น และหากต้องการเพิ่ม Traffic ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่สามารถกำหนดงบประมาณและลักษณะกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น เพศ อายุ ที่อยู่อาศัย
- SEO: ไม่เสียค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนกดเข้ามายังเว็บไซต์ แต่ไม่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้เหมือนกับการทำ PPC
การทำ PPC เหมาะกับใคร/ธุรกิจแบบไหน
- สินค้า/บริการเป็นที่ต้องการของคนอยู่แล้ว: ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจซื้อนาน และถ้าเป็นสินค้าที่คนต้องซื้ออยู่เรื่อย ๆ การทำ PPC จะเหมาะกว่าการทำ SEO มาก เพราะสามารถกดคลิกเข้าเว็บไซต์ และปิดการขายได้เลย
- มีงบประมาณเพียงพอต่อการยิงโฆษณา: การทำ PPC ใช่ว่าจะเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก แต่ต้องค้นหาและต้องทดลองยิงแอดไปเรื่อย ๆ ว่า Keyword ไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก
กลยุทธ์ SEO กับ PPC ใช้ร่วมกันยังไงให้ปัง!
หลังจากแยกความแตกต่างของ SEO กับ PPC ได้อย่างชัดเจนแล้ว เพื่อน ๆ อาจมีคำถามว่าแล้ว SEM ทั้งสองกลยุทธ์นี้สามารถใช้ร่วมกันได้หรือไม่ คำตอบคือได้ แถมช่วยเสริมซึ่งกันและกันด้วย
- ยิงโฆษณาเพื่อดูว่า Keyword คำไหนทำให้คนกดเข้ามาในเว็บไซต์หรือกดสั่งซื้อสินค้า แล้วเอามาปรับใช้ในเนื้อหา SEO
- การทำ SEO ช่วยลดค่า Bidding ของ PPC ได้ เพราะภายในเว็บไซต์มีเนื้อหาที่ตอบโจทย์ Users อยู่แล้ว
- PPC ช่วยเพิ่มการมองเห็นทั้งจากผู้ใช้ทั่วไปและ Google ทำให้มีโอกาสติด Ranking ได้เร็วขึ้น
สรุป
แต่ละธุรกิจอาจใช้กลยุทธ์ทั้งสองควบคู่กันไป ด้วยการหมั่นปรับแต่งเนื้อหาในเว็บไซต์ให้มีคุณภาพตามหลักการ SEO และแบ่งงบประมาณบางส่วนมายิงโฆษณา เพื่อะทดสอบว่า Keyword ไหนมีประสิทธิภาพ เพราะทั้งคู่ก็ถือเป็น Search Engine Marketing ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกมองเห็น เพิ่มทั้งฐานลูกค้าและยอดขายได้ดีมาก ๆ อีกด้วย