การทํา SEO ด้วยตัวเองอาจฟังดูเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน โดยเฉพาะเจ้าของเว็บไซต์ หรือธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีงบประมาณจ้างเอเจนซี่ ความกังวลว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ต้องใช้เครื่องมืออะไร หรือกลัวว่าทำไปแล้วจะไม่เห็นผล เป็นเรื่องที่หลายคนเจอเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงการทำ SEO ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด หากคุณเข้าใจหลักการพื้นฐานและรู้จักวางแผนอย่างเป็นระบบ บทความนี้จะช่วยคลี่คลายทุกข้อสงสัย พร้อมแนะนำ 9 ขั้นตอนสำคัญ ที่คุณสามารถลงมือทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Google อย่างยั่งยืน
KRAJANG Summary
- การทํา SEO ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่า อยากให้คนเข้ามาทำอะไรที่เว็บไซต์ เพื่อให้สามารถแผนกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น
- Keyword Research ถือเป็นขั้นตอนการทํา SEO ที่สำคัญที่สุด เพราะช่วยให้รู้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและนำมาวางแผนการทำคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้เกิดจากการออกแบบเว็บไซต์เป็นหลัก เช่น เว็บไซต์โหลดเร็ว เนื้อหาอ่านง่าย และยังส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์อีกด้วย
SEO คืออะไร และทำไมถึงสำคัญกับเว็บไซต์
SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับที่ดี ในผลการค้นหาของ Google หรือเสิร์ชเอนจินอื่น ๆ โดยไม่ต้องเสียเงินลงโฆษณา หากทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เว็บไซต์ของคุณก็จะมีโอกาสถูกค้นเจอโดยกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ส่งผลต่อยอดขาย การรับรู้แบรนด์ และการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วต้องทํา SEO ยังไงถึงจะเห็นผล ความจริงคือ SEO ไม่ใช่เพียงแค่การใส่คีย์เวิร์ดหรือเขียนบทความยาว ๆ เท่านั้น แต่เป็นการวางกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งเนื้อหา (On-page SEO) โครงสร้างเว็บไซต์ ความเร็วในการโหลดหน้า ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ และปัจจัยภายนอกอย่าง Backlink ด้วย
หากคุณเข้าใจหลักการทํา SEO ที่ดีและเริ่มต้นจากพื้นฐานอย่างถูกต้อง แม้จะไม่มีประสบการณ์มาก่อน ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนค้นหาทุกอย่างผ่าน Google การมีเว็บไซต์ที่ติดอันดับจึงกลายเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างชัดเจน
มัดรวม 9 ขั้นตอนการทำ SEO สำหรับมือใหม่ ครบจบในที่เดียว
สำหรับใครหรือธุรกิจไหนกำลังค้นหาวิธีทํา SEO ด้วยตัวเองแบบเข้าใจง่าย สอนทีละขั้นตอนแบบ Step-by-Step เราเตรียมมาให้คุณแล้ว มาเริ่มต้นทำ SEO ไปพร้อม ๆ กันเลย!
STEP 1: กำหนดจุดประสงค์ของการทำ SEO
ขั้นตอนแรกของการทำ SEO คือการกำหนดวัตถุประสงค์ว่าต้องการให้คนเข้ามาทำอะไรในเว็บไซต์ของเรา ตัวอย่างเช่น ตอนนี้กำลังเปิดร้านกาแฟ ต้องการทำ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นให้คนรู้จักร้านของเรามากขึ้น และสั่งซื้อกาแฟหรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของแบรนด์
เพราะการวางจุดประสงค์ที่ชัดเจน จะส่งผลกับการออกแบบและพัฒนา Website ให้ตอบโจทย์และคำนึงถึง UX/UI และสามารถวางแผนขั้นตอนต่อ ๆ ไปได้ง่ายขึ้น รวมถึงจะได้ใช้กลยุทธ์ที่เข้ากับเป้าหมายอีกด้วย
STEP 2: เลือก Website/Hosting ให้เหมาะสม
หลักการทำ SEO เว็บไซต์ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ SEO ติดอันดับได้ง่ายขึ้น จึงควรเลือกใช้ CMS หรือตัวจัดการหลังบ้านที่รองรับการทำ SEO เช่น WordPress ที่มี Theme และ Plugin ที่พร้อมแก้ไขและพัฒนาเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ทั้งเรื่อง Mobile Friendly, Page Speed, Core Web Vital และการทำ Responsive Design ที่ช่วยให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีในทุก ๆ อุปกรณ์
และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการเลือก Hosting โดยต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราอาศัยอยู่ที่ไหน เช่น ลูกค้าร้านกาแฟของเราส่วนใหญ่เป็นคนไทย ก็ควรเลือก Hosting ที่เป็นประเทศไทย เพื่อให้แสดงข้อมูลอย่างรวดเร็วและคนไทยมองเห็นเว็บไซต์ของเราง่ายขึ้น หรือจะเลือกใช้ Cloudflare หรือ Cloudfront ช่วยให้ Website โหลดได้เร็วและได้ทุกที่
STEP 3: ค้นหาคำที่ใช่ด้วยการทำ Keyword Research
การทำ Keyword Research เป็นการค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ใช้ Keyword ไหนบ้างในการค้นหาข้อมูล มีจำนวนหรือปริมาณการค้นหาอยู่ที่เท่าไหร่ (Search Volume) ซึ่งการทำ Keyword Research ให้มีประสิทธิภาพ เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Keyword คืออะไร มี่กี่ประเภท และมีความสำคัญอย่างไรกับการทำ SEO
STEP 4: ปรับแต่งคอนเทนต์ให้มีคุณภาพ (On-site SEO)
หลังจากที่ได้ Keyword และวางแผนโครงสร้างเนื้อหาเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการเขียนและปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Onsite Content ให้ตอบโจทย์ ทั้ง Users ทั่วไปและ Users อย่าง Robots ของ Google
- สิ่งที่คนทั่วไปต้องการเห็นคือ การที่เขาค้นหาแล้วได้คำตอบ ช่วยแก้ไขปัญหาได้ หรือตรงกับ Search Intent ของเค้า เป็นทั้งคอนเทนต์แบบ Evergreen Content และ Trendy Content ให้พวกเขารับรู้ทั้งข้อมูลแบบ Facts ที่เข้าใจง่าย ควบคู่ไปกับเนื้อหาที่อ่านแล้วดึงดูงใจ (Catchy)
- ในฝั่งของ Users อย่าง Robots ก็ต้องการให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ตอบโจทย์ทั้ง Users คนทั่วไป และตรงตาม Algorithm ที่มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
เป็นการปรับแต่งเนื้อหาหรือคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ ที่สามารถเป็นได้ทั้งหน้าบริการ หน้าสินค้า หรือบทความให้ความรู้ เพื่อบอกว่าเว็บไซต์ของเราเกี่ยวข้องกับอะไร ต้องการพูดถึงอะไรบ้าง นอกจากให้ตัวผู้ใช้ค้นหาตอบได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ Algorithm เข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราได้ง่ายยิ่งขึ้นไปด้วย
STEP 5: สร้าง Link Building เพิ่มความน่าเชื่อถือ (Off-site SEO)
Link Building หรือ Backlink เป็นการสร้างเนื้อหาและทำเป็นลิงก์ไปลงบนเว็บไซต์อื่น ๆ ให้ Traffic กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา กระบวนการทำ SEO ข้อนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ได้เป็นอย่างมาก เพราะเปรียบเสมือนเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีสอดคล้องกับหลัก Trustworthiness ใน E-E-A-T Factor ของ Google ซึ่งลักษณะของ Backlink ที่มีคุณภาพนั้น มีดังต่อไปนี้
- เว็บไซต์ที่อ้างอิงมีค่า Authority สูง: ยิ่งเว็บไซต์ที่เรานำ Backlink ไปวางนั้นมีค่า Domain Authority สูง ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ของเรามากขึ้นด้วย
- เว็บไซต์นั้น ๆ มีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา: อาจจะเป็นเว็บที่ลักษณะสินค้าหรือบริการคล้ายกัน หรืออยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเว็บไซต์อะไรก็ได้
- เนื้อหามีคุณภาพ: เนื้อหาที่สร้างขึ้นมีประโยชน์แก่ผู้ใช้ และสอดคล้องกับ Keywords
- ลิงก์นั้นมีคนใช้งานจริง: เว็บไซต์นั้นมีคนเข้ามาคลิกเพื่อใช้งานเรื่อย ๆ ให้มั่นใจได้ว่าจะมี Traffic กลับมาที่เว็บไซต์ของเราแน่นอน
STEP 6: ปรับแต่ง UX/UI ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน
เป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) ที่ดีให้กับผู้อ่าน ซึ่งจะเป็นผลมาจากการทำ UI (User Interface) ที่ดี เช่น เว็บไซต์โหลดอย่างรวดเร็ว ตัวอักษรอ่านง่าย ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ออกแบบ Layout ของหน้าเว็บไซต์เป็นสัดส่วน รวมไปถึงการแสดงผลหน้าเว็บที่รองรับการใช้งาน บนโทรศัพท์มือถือ โดยหลัก ๆ แล้วเราจะสามารถวัด UX ได้จาก
- Bounce Rate: เป็นค่าที่บอกว่าคนเข้ามาแล้วกดออกเว็บไซต์เลยทันทีกี่เปอร์เซ็นต์
- Session Duration: เป็นค่าที่เอาไว้วัดว่าผู้ชมแต่ละคนอยู่บนเว็บไซต์ของเรานานเท่าไหร่
- Average Time on Page: เป็นค่าที่แสดงเวลาเฉลี่ยของผู้ใช้งานที่อยู่บนเว็บไซต์ หากหน้าเพจไหนมีคนอยู่นาน แสดงว่าเนื้อหาบนหน้าเพจนั้นดี มีประโยชน์
- Tracking: เป็นการติดตั้งเครื่องมือเพื่อดู Journey ของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ ว่าเขาอยู่ที่หน้าเพจไหนนานสุด กดปุ่ม CTA ตรงไหนบ้าง เพื่อเก็บข้อมูลและนำมาออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้า
STEP 7: ปรับแต่ง Technical SEO ให้มีประสิทธิภาพ
อีกขั้นตอนสำคัญของวิธีทํา SEO คือการปรับแต่งภาพรวมของเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคทั้งหมด เพื่อปรับปรุงอันดับในหน้า Search Engine และเพิ่มโอกาสติดหน้าแรกของ Google ได้อย่างยาวนานมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
- จัดทำให้เว็บไซต์ใช้ HTTPS หรือ SSL เพื่อความปลอดภัย
- ตรวจสอบสถานะ URL เช่น 301 Redirect, 302 Redirect หรือ 404 Not Found หากพบปัญหาให้แก้ไขให้เรียบร้อย
- ตรวจสอบการสร้างและอัปเดต Sitemap
- ตรวจสอบความเร็วในการโหลดของหน้าเว็บ
- ตรวจสอบ Core Web Vitals หรือการตอบสนองของเว็บไซต์
สำหรับตัว Website Structure แนะนำให้ทำแบบ Hybrid Website Structure หรือโครงสร้างเว็บไซต์ที่ผสมผสานระหว่าง Silo-Website Structure คือจัดกลุ่มเนื้อหาหรือเพจที่เป็นประเภทเดียวกันด้วย Internal link รวมกับ Linear Website Structure ที่เป็นการแสดงเนื้อหาเป็นลำดับ 1-2-3-4 เป็นเหมือนการวาง Journey ให้กลุ่มผู้ใช้เมื่อเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา
STEP 8: ใช้ Social Media ให้เป็นประโยชน์
เราสามารถใช้ Social Media เป็นตัวกลางในการเผยแพร่เว็บไซต์ เพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะคนแต่ละยุค แต่ละ Gen ก็ชอบใช้แพลตฟอร์มที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น การสร้างเพจเฟซบุ๊ก ทำคอนเทนต์ต่าง ๆ แล้วเชื่อมโยงกลับมาที่เว็บไซต์ หรือจะโพสต์โปรโมตบทความลงบนเพจก็ได้ ถือเป็นการเพิ่ม Traffic กลับมายังเว็บไซต์ของเราไปในตัว
STEP 9: การติดตามผลและวัดผลลัพธ์ผ่าน Report
สุดท้ายนี้เพื่อให้เรามองเห็นผลลัพธ์ที่ทุ่มแรงลงไปนั้น ต้องมีการทำ SEO Report เพื่อสรุปข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผลลัพธ์ จุดบกพร่อง และดูว่าเป็นไปตามเป้าหมายแรกที่วางไว้หรือไม่ พร้อมทั้งการทำ Conversion/Event Tracking เพื่อทำให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้งาน Website ของผู้ใช้ ว่าคนส่วนใหญ่อยู่ที่หน้าเพจไหน คลิกปุ่มไหนมากสุด ตัวอย่างเครื่องมือในการทำติดตามผล เช่น Google Search Console, GA, GTM, Heatmap และ Lookerstudio
SEO ต้องทำตลอดไปไหม แล้วเมื่อไรควรอัปเดตเนื้อหา
หลายคนอาจมีข้อสงสัยหลังจากเริ่มต้นขั้นตอนการทํา SEO คือ แล้วต้องทำ SEO ไปตลอดไหม คำตอบคือ ใช่ แต่ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดพร้อมกันตลอดเวลา
SEO ไม่ใช่งานที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นงานที่ต้องติดตามและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ เพราะอัลกอริทึมของ Google มีการอัปเดตอยู่ตลอดเวลา พฤติกรรมของผู้ใช้งานก็เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับคู่แข่งที่อาจพัฒนาเนื้อหาใหม่ขึ้นมาแข่งกับคุณ หากคุณหยุดอัปเดต เว็บไซต์ก็มีโอกาสหลุดอันดับได้ง่าย ๆ
แล้ว SEO ควรอัปเดตเนื้อหาเมื่อไร ทำอย่างไร?
- เมื่อข้อมูลในบทความเก่ามีแนวโน้มตกยุค เช่น ราคาสินค้า เทรนด์ หรือสถิติ
- เมื่อบทความไม่ติดอันดับ หรืออันดับลดลงกะทันหัน
- เมื่อมีการอัปเดตใหม่จาก Google ที่กระทบกับหลักการทํา SEO เช่น การให้ความสำคัญกับ Experience, Authority และ Trust
- เมื่อคุณได้ไอเดียเพิ่มเติม เช่น เพิ่มคีย์เวิร์ดรอง หรือใส่รูปภาพ/วิดีโอเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ
สรุป
แม้ว่า SEO จะดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิคซับซ้อนที่ต้องพึ่งมืออาชีพ แต่ความจริงแล้วการทํา SEO ด้วยตัวเองก็สามารถทำได้เช่นกัน หากเข้าใจพื้นฐานและเริ่มต้นอย่างมีระบบ เพราะในยุคปัจจุบัน มีเครื่องมือที่ช่วยให้วิเคราะห์ ปรับแต่ง และพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักการของ Google ได้
และถ้าต้องการต่อยอดไปอีกขั้น ด้วยการวางกลยุทธ์ SEO แบบครบวงจร ทั้งการวิเคราะห์เชิงลึก การปรับแต่งเว็บไซต์อย่างมืออาชีพ และการสร้างคอนเทนต์คุณภาพที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย KRA-JANG คือหนึ่งในทีมเอเจนซี่ที่พร้อมช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรก Google อย่างมั่นคง ด้วยหลักการทำ SEO ที่ดี และถูกต้องตามมาตรฐานล่าสุดของ Google