แม้ว่า Social Media จะเป็นช่องทางยอดนิยมที่แบรนด์ใช้สื่อสารไปหากลุ่มเป้าหมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำเว็บไซต์ธุรกิจยังเป็นช่องทางที่สำคัญ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเลือกค้นหาคำตอบบน Search Engine อยู่เหมือนเดิม และอย่างที่หลายคนทราบกันดีว่า AI ได้เข้ามามีบทบาทและเปลี่ยนแปลงวงการ SEO จนส่งผลกระทบต่อการวางกลยุทธ์ เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาให้ตอบโจทย์ผู้ใช้มากที่สุด ดังนั้น พวกเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันกับแนวโน้มของ SEO ในอนาคต กระจ่างจึงมาอัปเดต SEO Trends ใหม่ล่าสุดที่คุณควรรู้ ซึ่งจะช่วยคุณพัฒนากลยุทธ์และดันอันดับเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น!
KRAJANG Summary
- User Signals กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ รวมไปถึง เพิ่ม User Experience โดยการให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมกับเว็บไซต์มากขึ้น
- User-Generated Content ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการทำโฆษณา และช่วยเพิ่มการพูดถึงแบรนด์อีกด้วย ดังนั้น การทำ SEO จึงควรมีเนื้อหา Testimonials และพยายามทำให้ลูกค้ารีวิวบน Google My Business ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- SEO Trends เผยว่า การเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื้อหาจะต้องตอบโจทย์กับ Search Intent ของผู้ใช้ด้วย
1. AI Overviews จะเปลี่ยนประสบการณ์การค้นหาของ User
AI Overviews หรือที่เราเคยเรียกกันว่า Search Generative Experience เป็นผลการค้นหาที่ผสมผสานระหว่างการประมวลผลของ Google กับฟีเจอร์ Generative AI เข้าด้วยกัน ทำให้เมื่อผู้ใช้ค้นหาอะไรบางอย่าง ผลลัพธ์ก็ขึ้นเป็นคำตอบที่สร้างโดย AI (คล้ายกับเวลาเราถามคำถามใน Chat GPT) ซึ่งจะเป็นคำตอบที่เข้าใจง่าย และครอบคลุมโดยที่ไม่ต้องกดเข้าไปอ่านเพิ่มเติมในเว็บไซต์ โดยปัจจุบัน 15% ของ SERP ถูกแสดงผลโดย AI Overviews และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
เพื่อปรับตัวให้เข้าเทรนด์ดังกล่าว คนทำ SEO จึงควรโฟกัสไปที่การจัดวางและสรุปเนื้อหาให้กระชับ เข้าใจง่าย เพื่อให้ AI สามารถดึงข้อมูลไปแสดงผลการค้นหาได้สะดวกขึ้น โดยสิ่งที่หลายคนกังวลคือ กลัวว่า SEO Trends นี้จะส่งผลกระทบต่อยอด Traffic และ CTR ของเว็บไซต์ แต่พอย้อนกลับไปในอดีต สิ่งนี้ก็คล้ายกับที่ Google เคยเปิดตัว Featured Snippets ไป ซึ่งยอดคลิกหลังจากนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจนน่าใจหาย ดังนั้น ควรไปสนใจในการปรับปรุงเนื้อหาให้ Google เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น และเน้น Keyword ที่มีศักยภาพจะดีกว่า
2. Google หันมาให้ความสนใจกับ User Signals และ UX มากขึ้น
User Signals คือ KPIs ที่บ่งชี้ว่าผู้ใช้งานพึงพอใจกับการใช้งานบนเว็บไซต์นั้น ๆ หรือไม่ หรือก็คือประสบการณ์โดยรวมของผู้ใช้นั่นเอง (User Experience) นั่นเอง ซึ่ง Google จะใช้ตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น อัตราการคลิกจากผลการค้นหา (CTR), ระยะเวลาบนเว็บไซต์ (Dwell Time), อัตราการตีกลับ (Bounce Rate) และความเร็วในการโหลดเนื้อหา (Page Speed) แปลว่า SEO Trends นี้ต้องการให้เราปรับเนื้อหาให้เหมาะสมและเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับ User
วิธีการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ User Signals
- ตรวจสอบอัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้เป็นประจำ ได้แก่ ระยะเวลาโดยเฉลี่ย, อัตราการตีกลับ, การคลิกปุ่ม หรือการโต้ตอบกับฟีเจอร์บนเว็บไซต์ เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น
- เพิ่มองค์ประกอบลงไปเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ อินโฟกราฟิก หรือคลิปวิดีโอประกอบ เพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนหน้าเว็บไซต์นานขึ้น
- เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ ด้วยการตรวจสอบ Core Web Vitals ทั้งหมด ลดขนาดไฟล์รูปภาพ และลบแคชที่ไม่จำเป็นออกไป
3. E-E-A-T และ Brand Signals ยังจำเป็นต่อการจัดอันดับเว็บไซต์
- E-E-A-T ประกอบไปด้วย ความเชี่ยวชาญในเนื้อหา (Expertise) ประสบการณ์ (Experience) การเป็นเจ้าของเนื้อหา (Authoritativeness) และ ความน่าเชื่อถือของเนื้อหา (Trustworthiness) ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการวัดคุณภาพของเนื้อหา SEO
- Brand Signals คือ KPIs ที่ใช้ในการบ่งบอกชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น การพูดถึงแบรนด์ (ฺBrand Mentions) ปริมาณการค้นหาแบรนด์ (Branded Search Volume) และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้บนเว็บไซต์
การเข้ามามีบทบาทของ AI Generative ทำให้ Google ให้ความสำคัญกับการแสดงผลเนื้อหามากกว่าเดิม เพื่อให้แน่ใจว่า SERP มีคำตอบที่ตรงความต้องการของ User แต่ก็พบว่า Brand Traffic หรืออัตราการเข้าชมเว็บไซต์หลังจากเซิร์ชชื่อแบรนด์นั้นมีการลดลง ดังนั้น แบรนด์ควรปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับการ SEO Trends การอัปเดตเนื้อหาบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่าง YouTube, Facebook, Instagram หรือ TikTok เพื่อให้แบรนด์ของคุณดูมีตัวตนชัดเจน เพิ่มฟีเจอร์แชร์เนื้อหาลงบน Social Media รวมถึงเนื้อหาทั้งหมดจะต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ E-E-A-T เพื่อมอบเนื้อหาคุณภาพให้กับผู้ใช้ทุกคน
4. แบรนด์ต้องพึ่งพา User-Generated Content มากขึ้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา User ให้ความสนใจในเนื้อหาประเภท “User-Generated Content” เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากช่วยตอบคำถามเฉพาะเจาะจงที่แบรนด์อาจยังไม่พูดถึง และเพิ่มการตัดสินใจซื้อได้ดี เพราะเป็นความคิดเห็นจากตัวผู้ใช้จริง นอกจากนี้ UGC ยังมีประโยชน์ต่อแบรนด์ในแง่ค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องเสียค่าโฆษณา และช่วยเพิ่มการมองเห็นแบรนด์มากขึ้น และด้วยอิทธิพลของ AI Overviews ทำให้มีแนวโน้มว่า UGC จะปรากฏในผลการค้นหามากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งแบรนด์มีวิธีการอัปเดตการทำ SEO ให้สอดคล้องกับเทรนด์ดังกล่าว ตามต่อไปนี้
- พยายามทำให้ลูกค้ารีวิวร้านค้าและบริการของแบรนด์บน Google My Business มากขึ้น
- นำ User-Generated Content มาปรับใช้ในหน้า Landing Page
- เพิ่มเนื้อหา Testimonials ลงบนเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ
5. อยากให้ Rank สูง อย่าลืมใส่ใจ Search Intent
ถ้าพูดถึง SEO Trends ในปีก่อน ๆ หลายคนจะบอกว่าให้เน้นการเลือก Keyword หลักที่ตอบโจทย์ แต่บางครั้งอาจโฟกัสที่ Keyword มากเกินไปจนลืมใส่ใจคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์ ดังนั้น นอกจากการเลือกใช้คำค้นหาที่มีประสิทธิภาพแล้ว เนื้อหาจะต้องสอดคล้องกับความตั้งใจในการค้นหาของ User ด้วย เช่น ถ้าผู้ใช้หาค้นหาว่า “วิธีการทำ SEO ด้วยตัวเอง” ถ้าคุณต้องการให้คนเข้ามาอ่านบทความของคุณ เนื้อหาก็ต้องเล่าถึงขั้นตอนการทำ SEO แบบละเอียด เพื่อให้ผู้ใช้ได้คำตอบที่ต้องการและอยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานยิ่งขึ้น
สรุป
จบไปแล้วกับการอัปเดต SEO Trends ฉบับล่าสุด จะเห็นได้ว่าผลกระทบของ AI Overviews นั่นสร้างความสั่นสะเทือนให้วงการ SEO ไม่น้อยเลย อย่างไรก็ตาม เราสามารถนำเอาเทรนด์ใหม่ ๆ เหล่านี้มาพัฒนากลยุทธ์และวางแผนการสร้างสรรค์เนื้อหาให้ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ ถ้าคุณอยากรักษาอันดับของเว็บไซต์ให้สูงในระยะยาว ก็ไม่ควรมองข้ามจุดนี้ไป