ไม่ว่าใครก็ชอบการอ่านเนื้อหาที่ได้ใจความและตรงประเด็น เพราะไม่ต้องเสียเวลาอ่านนานและได้คำตอบแบบทันใจ ซึ่งกล่าวไปนี้เป็นจุดเด่นสำคัญของฟีเจอร์ใหม่จาก Google อย่าง Search Generative Experience หรือ Google SGE ที่จะเข้ามามีบทบาทในโลกการค้นหาอย่างแน่นอน และอาจมีผลกระทบต่อการทำ SEO ในอนาคตอีกด้วย แล้ว Google SGE คืออะไร ขั้นตอนการทำงานของ Search Generative Experience เป็นอย่างไรบ้าง มาอ่านไปพร้อมกันเลย!
KRAJANG Summary
- Keyword Research คือกระบวนการค้นหาคำ วลี หรือประโยคที่คนใช้บน Search Engine ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาคำอะไรในการค้นหาสิ่งที่ต้องการและนำมาปรับใช้กับการทำคอนเทนต์
- การทำ Keyword Research ช่วยให้รู้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและวางแผนขั้นตอนการทำ SEO ได้ง่ายขึ้นด้วย
- ประเภทของ Keyword โดยทั่วไปแล้วมีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ Generic Keywords, Niche Keywords และ Long-Tail Keywords
Search Generative Experience (SGE) คืออะไร
Google SGE คือ Search Generative Experience เป็นฟีเจอร์ Generative AI ของ Google ที่เข้ามาช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการบน Search Engine ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น สำหรับใครที่สงสัยว่า Search Generative Experience ทำงานอย่างไรนั้น ขั้นตอนมีดังนี้
- ผู้ใช้กรอกคำหรือประโยคค้นหาที่ต้องการบน Google
- AI จะทำงานผ่านโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model, LLM) ในการประมวลผลการค้นหาจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ
- สรุปออกมาเป็นคำตอบที่เฉพาะเจาะจง เกี่ยวข้องกับคำถามเท่านั้น
ช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดเวลาในการค้นหา และเข้าใจง่ายเพราะภาษาที่ SGE ใช้เหมือนกับบทสนทนาทั่วไปของมนุษย์ ซึ่ง Google SGE ก็ยังฟีเจอร์อีกมากมายที่เอามาช่วยในการประมวลผล จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน
AI-powered Snapshots
เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้ผลการค้นหาที่ประมวลผลด้วย AI อยู่ด้านบนสุดตรงส่วน Snippets โดยคำตอบก็จะมีเนื้อหาครบถ้วน และระบุแหล่งอ้างอิงของข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยตัวเอง
Vertical Experiences
เป็นการแสดงผลการค้นหาในแนวตั้ง มักจะเหมาะกับเนื้อหาประเภทสินค้าและบริการต่าง ๆ เพราะฟีเจอร์นี้ทำให้ผู้ใช้เห็นรายละเอียดของสินค้าอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ราคา วิธีใช้ ขนาด หรือรีวิว ช่วยเพิ่มการตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
Advertisements
เป็นการแสดงโฆษณาไปพร้อมกับเนื้อหาที่มีประโยชน์แทนการแสดงแค่โฆษณาอย่างเดียว (เหมือนกับ Google Ads) เพื่อให้ผู้ใช้ได้ความรู้และเข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น ถือเป็นฟีเจอร์ที่เข้าทางแบรนด์สุด ๆ เพราะช่วยสร้าง Impressions ให้กับธุรกิจและอาจเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นอีกด้วย
รูปแบบการแสดงผลการค้นหาของ Google SGE ต่างจาก SEO อย่างไร
รูปแบบการแสดงผลการค้นหาของ SEO คือการแสดงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง ซึ่งเว็บไซต์ไหนจะขึ้นก่อนหลังก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อหา คีย์เวิร์ด และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ แต่ Google SGE จะประมวลผลการค้นหาจากฐานข้อมูลและสรุปออกมาเป็นเนื้อหาสั้น ๆ และยังมีรูปภาพประกอบหรือลิงก์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ใช้ได้คำตอบที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
Google SGE ส่งผลต่อ SEO อย่างไร
หลังจากที่ Google SGE ถูกเปิดตัว ก็สร้างความสั่นสะเทือนให้กับฝั่ง SEO ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเมื่อผลการค้นหาจาก AI แสดงอยู่ด้านบนสุด แล้วเนื้อหาเหล่านั้นค่อนข้างครบตรงประเด็นแล้ว ก็มีโอกาสที่ผู้ใช้จะไม่กดเข้าไปอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมในเว็บไซต์อีก (Zero-Click) ซึ่งส่งผลถึงยอดเข้าชมเว็บไซต์อย่างแน่นอน แต่ก็มากหรือน้อยนั้นก็ยังไม่มีใครทราบได้ เพราะปัจจบุัน SGE ก็ยังไม่ถูกปล่อยออกมาใช้อย่างเป็นทางการ
กลยุทธ์การทำ SEO ให้รองรับการมาของ Google SGE
สาย SEO ก็ยังไม่ต้องตื่นตระหนก ตกใจไป เพราะกระจ่างยังพอจะมีวิธีการทำ SEO ให้ Google SGE สามารถเชื่อถือและนำเนื้อหาของเราไปอ้างอิงในผลการค้นหาได้ ดังนี้
สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง
หลักเกณฑ์ E-E-A-T ก็ยังคงเป็นเกณฑ์สำคัญของการทำ SEO รวมไปถึง Google SGE เมื่อเนื้อหาในเว็บไซต์มีความถูกต้อง เชี่ยวชาญ และน่าเชื่อถือ รวมถึงมี Keyword ที่ผู้ใช้ตามหา ก็มีโอกาสที่ AI จะนำเนื้อหาจากเว็บไซต์ของเราไปอ้างอิง และมี Traffic กลับเข้ามาที่เว็บไซต์ รวมไปถึงอาจลองใช้คำค้นหาที่มีความเป็นภาษาพูดหรือคำถามง่าย ๆ ที่คนมักสงสัยเอามาใส่ในคอนเทนต์ ก็จะช่วยให้ AI มองเห็นเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้นด้วย
ให้ความสำคัญกับ UX/UI มากขึ้น
ควรใส่ใจกับโครงสร้างเว็บไซต์มากขึ้น เช่น การจัด Layout เนื้อหา หรือการวาง Header เพราะช่วยให้ AI เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดและดึงข้อมูลเพื่อไปตอบคำถามได้ง่ายขึ้น และทางที่ดีควรติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างได้สอดคล้องกับการประมวณผลของ Google SGE เพราะในอนาคตอาจมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีกก็ได้
ข้อดีของ Google SGE
- ผู้ค้นหาได้คำตอบที่ต้องการในทันที และเข้าใจเนื้อหาได้อย่างรวดเร็วเพราะ AI สรุปมาให้แล้ว
- ลดระยะเวลาในการค้นหาและกดเลือกอ่านแต่ละเว็บไซต์
- เพิ่มประสบการณ์ในการค้นหาที่ดีให้กับผู้ใช้
ข้อเสียของ Google SGE
- ปัจจุบันฟีเจอร์นี้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา ทำให้ยังไม่สามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนได้ถูกต้อง 100%
- ยอด Traffic, Clicks และ Impressions ของเว็บไซต์ลดน้อยลง
- มีคนคาดคะแนว่า Google SGE อาจให้ความสำคัญกับ Keyword และการทำ Backlink น้อยลง เพราะ AI สามารถค้นหาเนื้อหาที่มีคุณภาพได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นการทำ Backlink อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป
สรุป
ถ้ามองในฝั่งผู้ใช้แล้ว Search Generative Experience ช่วยลดระยะเวลาในการค้นหาได้มากเลยทีเดียว อีกทั้งยังได้ข้อมูลที่ตรงประเด็นในภาษาที่เข้าใจง่าย เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ค้นหายิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันฟีเจอร์ Google SGE ถูกทดลองให้ใช้ในบางประเทศเท่านั้น ในด้านผลกระทบต่อ SEO จะมากหรือน้อยแค่ไหนเป็นสิ่งที่คนทำ SEO อย่างเรา ๆ ก็ต้องติดตามกันต่อไป แต่แน่นอนว่าก็ยังต้องคงคุณภาพของเนื้อหาและการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ AI มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพ เนื้อหาสามารถนำไปอ้างอิงได้นั่นเอง