การทํา SEO คืออะไร สำคัญอย่างไร ควรเริ่มทำ SEO ตอนไหนถึงจะดีที่สุด

สำหรับธุรกิจไหนที่อยากให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น การทำ SEO คือสิ่งที่สามารถช่วยให้ธุรกิจถูกมองเห็นในหน้าแรกของ Search Engine และเพิ่มยอดขายสินค้าได้ด้วย
แชร์

ในโลกดิจิทัลที่ทุกคนเข้าถึงสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ธุรกิจก็ต้องสร้างช่องทางสื่อของตัวเอง เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นและมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น ทั้งโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ ซึ่งบางคนอาจเคยได้ยินมาเหมือนกันว่า การทำ SEO นั้นช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น

บางคนอาจเคยได้ยินคำว่า SEM และอาจจะเข้าใจว่ามันเหมือนกับการทำ SEO แต่จริง ๆ แล้ว SEM (Search Engine Marketing) เป็นการทำตลาดบน Search Engine โดยการจ่ายเงินค่าโฆษณาหรือการทำ PPC (Paid Per Clicks) ส่วนใครที่ยังไม่รู้ว่าการทํา SEO คืออะไร แล้วการทำ SEO สําคัญอย่างไร บทความนี้กระจ่างจะมาไขข้อสงสัยให้ทุกธุรกิจว่าสรุปแล้วควรทำ SEO หรือไม่

  • SEO เป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและปรากฏอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหา
  • กระบวนการทำ SEO มีทั้งการปรับแต่งเว็บไซต์ทั้งภายในและภายนอก รวมถึงปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ให้สะดวกต่อการใช้งานของ User
  • การทำ SEO ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ได้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเหมือนกับการทำโฆษณา และยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์อีกด้วย
เลือกหัวข้อที่คุณสนใจ

    SEO คืออะไร

    SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกระบวนการทางการตลาดรูปแบบหนึ่ง เป็นการปรับปรุงเนื้อหาให้เหมาะสมจนติดอันดับแรกของ Search Engine (เช่น Google, Bing, Yahoo) โดยเนื้อหานั้นต้องตอบโจทย์ความต้องการของคำค้นหา (Keywords) เพื่อให้สามารถตอบทุกคำถามหรือทุกปัญหาที่ Users สงสัยได้

    รวมถึงการปรับแต่งโครงสร้างของเนื้อหาและ Website ให้ใช้งานง่ายและเหมาะสมกับ Algorithm ของ Search Engine นั้น ๆ ซึ่งทุกการค้นหาจะไม่มีการเกี่ยวข้องกับเงิน แตกต่างจากการยิง Ads ที่จะติดอันดับดี ๆ ได้ก็ต่อเมื่อจ่ายเงินมากขึ้นนั่นเอง

    SEO มีกี่ประเภท?

    SEO ประเภทแรกคือการทำให้ Website ติดอันดับบนหน้า Google ที่เป็นความเข้าใจหลักของคนทั่วไป เพราะ Google ถือเป็นแพลตฟอร์มค้นหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หากเกิดข้อสงสัย Google ก็จะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของ Users ในการค้นหาคำตอบที่ต้องการ 

    ซึ่งคำว่า Search Engine นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ Google เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง Social Media เช่น YouTube, App Store, Facebook, TikTok หรือแม้กระทั่ง Google Maps/Apple Maps (ที่เราอาจจะคุ้นหูในคำว่า Local SEO) ก็ถือเป็นประเภทของการทำ SEO เช่นกัน โดยเราสามารถนำหลักการของ SEO ไป Apply กับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้นั่นเอง

    <หลักการทำงานของ SEO ที่ส่งผลต่อการติด Ranking

    การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพและสามารถติดหน้าแรกของ Search Engine ได้นั้นต้องอาศัยการเขียนหรือปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ Users ซึ่ง Users ที่ว่านั้นมี 2 ประเภทหลัก ๆ คือ Robots และ บุคคลทั่วไป

    หลักการทำงานของ Robots เพื่อพิจารณาในการจัดอันดับเว็บไซต์

    1. Robots เข้ามา Crawl หรือตรวจสอบเนื้อหาบน Website ทั้งหมด
    2. Robots เอาเนื้อหา ไป Learning เพื่อทำความเข้าใจ Website และเนื้อหาว่าเกี่ยวกับอะไร 
    3. ต่อด้วย Indexing หรือการที่ Robots/Search Engine เอาเนื้อหาเราไปวางบน Search Result Pages
    4. ปิดท้ายด้วย Ranking หรือการจัดอันดับความเหมาะสมหรืออันดับบนหน้า Search Result Pages

    หลักการทำ SEO ให้ตอบโจทย์บุคคลทั่วไป

    Users กลุ่มนี้ก็คือบุคคลทั่วไปอย่างเรา ๆ ที่เมื่อมีคำถามอะไรก็จะค้นหาบน Search Engine เพื่อหาคำตอบ ซึ่งการทำ SEO ให้ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ คือการสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อตอบปัญหาให้กับพวกเขา รวมถึงสร้างประสบการณ์บนเว็บไซต์ที่ดี ด้วยการปรับแต่งเชิงเทคนิค 

    4 ปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์ติด Rank หน้าแรกของ Search Engine

    1. Keywords: คือคำค้นหาที่ Users ใช้เวลาเกิดคำถามหรือข้อสงสัย เพื่อค้นหาคำตอบบน Search Engine แพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งจะรู้ได้ว่าผู้ใช้นั้นใช้ Keywords อะไรก็ต้องผ่านการทำ Keyword Research นั่นเอง
    2. SEO Content: การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงบนหน้าเว็บไซต์ ที่ตอบโจทย์ SEO และวัตถุประสงค์ทางการตลาด เนื้อหาต้องมีความสดใหม่ไม่ซ้ำใคร สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ E-E-A-T และยังรวมถึงการปรับแต่ง Title และ Meta Description อีกด้วย 
    3. On-Site SEO/On-Page SEO: การปรับแต่งบนหน้าเว็บไซต์ ได้แก่ การสร้างคอนเทนต์ที่มี Keyword สอดคล้องกับคำค้นหา โครงสร้างเนื้อหาที่เข้าใจง่าย รวมไปถึงการทำ Technical SEO หรือการปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ การให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีในทุก ๆ อุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน
    4. Off-Site SEO/Off-Page SEO: การทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์หรือที่คุ้นหูในชื่อ Backlink โดยการเขียนบทความที่มี Keyword ที่เกี่ยวข้องและนำไปโพสต์เว็บไซต์ที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูง เพื่อให้มี Traffic กลับมาที่เว็บไซต์ของเรา

    วิธีการวัดผลหรือหัวใจสำคัญของผลลัพธ์ในการทำ SEO

    • Ranking: อันดับของเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาบน Search Engine แพลตฟอร์มต่าง ๆ ยิ่งอันดับสูงเท่าไหร่ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจมากขึ้น
    • Traffic: ยอดการเข้าชมเว็บไซต์ ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี ซึ่งจะยอดจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์สามารถให้คำตอบกับ Users ได้ดีแค่ไหน
    • Conversion: อาจจะเป็นการสมัครสมาชิก การสั่งซื้อสินค้า หรือการติดต่อเข้ามาหาแบรนด์ ที่ส่งผลต่อยอดขายของธุรกิจ เป็นผลพลอยได้ที่ได้จากการทำ SEO นั่นเอง

    SEO สําคัญอย่างไรกับการทำการตลาดในยุคปัจจุบัน

    อย่างที่รู้กันดีว่าปัจจุบันใครก็นิยมสั่งซื้อสินค้าและบริการทางออนไลน์ การทำเว็บไซต์ให้เปรียบเสมือนหน้าร้านออฟไลน์ให้คนเข้ามาเลือกชอปปิงได้ง่าย ๆ ก็ยังเป็นการทำการตลาดที่น่าสนใจ แต่บางคนอาจจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าทำ SEO แล้วได้อะไร ดีต่อการทำธุรกิจอย่างไร กระจ่างจะมาบอกต่อข้อดีของ SEO ให้เอง มาดูกันเลย

    เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ได้มากขึ้น

    เมื่อเว็บไซต์อยู่ใน Ranking ที่สูงขึ้นหรืออันดับต้น ๆ ของ Search Engine โอกาสที่กลุ่มเป้าหมายและลูกค้าจะมองเห็นเว็บไซต์ของแบรนด์ก็จะเพิ่มสูงขึ้น ดึงดูดให้คนเข้ามาชมสินค้าและบริการ สามารถปิดขายในเว็บไซต์ได้เลยทันที ซึ่งจะช่วยให้ยอดขายของธุรกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

    ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ

    หลังจากที่ธุรกิจทำ SEO และปรากฏอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาแล้ว ผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่จะสนใจและมองว่าเว็บไซต์นี้มีคุณภาพ มีสินค้า บริการหรือสิ่งที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ไปในคราวเดียวอีกด้วย

    งบประมาณไม่สูงเท่ากับการทำโฆษณา

    แม้ว่าข้อเสียของ SEO คือต้องใช้ระยะเวลาและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการปรับแต่งเว็บไซต์ รวมไปถึงให้ Google มองเห็นและจัด Ranking ในหน้าผลการค้นหา แต่เมื่อเทียบในส่วนค่าใช้จ่ายแล้วก็ถือว่ายังไม่สูงเท่ากับการยิงโฆษณา และหากมีการปรับปรุงเว็บไซต์ตาม Google Algorithm อย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย

    ต้องทำ SEO นานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล

    การทำ SEO ให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนนั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน สำหรับเว็บไซต์ที่เพิ่งสร้างใหม่อาจใช้เวลามากกว่า 6 เดือน เพราะมีการแข่งขันสูง ทั้งในเรื่องของคุณภาพเนื้อหาและอันดับของ Keyword การทำ SEO จึงเหมือนการลงทุนในระยะยาว เมื่อเวลาผ่านไปเว็บไซต์ก็จะมียอด Traffic เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น ต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการพัฒนาและปรับปรุงเนื้อหาอย่างต่อเนื่องด้วย

    การทำ SEO เหมาะกับใคร

    • เหมาะกับคนที่ต้องการขยายธุรกิจ หรือต้องการให้กลุ่มเป้าหมายค้นหาแบรนด์เจอบน Search Engine
    • เหมาะกับคนที่มี Website อย่างเช่น E-Commerce Website, Content Based Website
    • เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มช่องทางการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ให้กับกลุ่มลูกค้า

    นักธุรกิจหรือแบรนด์ควรทำ SEO ตอนไหนถึงจะดีที่สุด

    หลายคนอาจจะเข้าใจว่าต้องมีเว็บไซต์ก่อนถึงจะเริ่มทำ SEO ได้ แต่ความจริงแล้วกระบวนการทำ SEO นั้นสามารถเริ่มได้ตั้งแต่การออกแบบเว็บไซต์ โดยการวางแผนโครงสร้างและภาพรวมทั้งหมดว่าต้องการให้ User ทำอะไร UX/UI หน้าตาเป็นอย่างไร จะสร้างคอนเทนต์แบบไหนบนเว็บไซต์บ้าง เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้หากเราวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณได้มากเลยทีเดียว

    เครื่องมือการทำ SEO มีอะไรบ้าง (ทั้งฟรีและมีค่าใช้จ่าย)

    Google Search Console

    Google Analytics

    โปรแกรมสำหรับการวิเคราะห์เว็บไซต์และเก็บข้อมูลผู้ชมโดยเฉพาะ โดย Google Analytics สามารถดูได้ว่าคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์คือใคร เพศอะไร อายุเท่าไหร่ อาศัยอยู่ที่ไหน ช่องทางเข้าถึงเว็บไซต์คืออะไร เดสก์ท็อปหรือสมาร์ทโฟน และช่วยให้ทราบถึงพฤติกรรมของผู้ชมว่าอยู่หน้าเว็บไซต์นานแค่ไหน นำไปวางแผนการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กับผู้ชมมากขึ้น ซึ่งใช้แค่เวอร์ชันฟรีก็เพียงพอแล้ว

    Google Tag Manager

    Google Keyword Planner

    Page Speed Insights

    ahrefs

    เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อทำ SEO โดยเฉพาะ ใช้สำหรับวิเคราะห์ภาพรวมทั้งหมดของเว็บไซต์ ที่มีฟีเจอร์เจ๋ง ๆ มากมายครบในที่เดียว เพื่อช่วยให้เราสามารถปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ตอบโจทย์ Search Engine มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Ahrefs Backlink Checker, Ahrefs Broken Link Checker, Ahrefs Keyword Generator, SERP Checker และอีกมากมาย

    • ราคา: เริ่มต้นที่ $129 / เดือน (ประมาณ 4,291 บาท)

    SE-Ranking

    เครื่องมือสำหรับตรวจเช็กอันดับเว็บไซต์บน Search Engine สามารถเช็กหลาย Keyword ได้พร้อม ๆ กันและติดตามผลได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังสามารถระบุจุดผิดพลาดบนเว็บไซต์ ตรวจสอบ Backlinks และการทำ Keyword Research เป็นโปรแกรมที่ราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่มีมาให้

    • ราคา: เริ่มต้นที่ $52 / เดือน (ประมาณ 1,728 บาท)

    Screaming Frog

    คือเครื่องมือสแกนหรือ Crawl ภาพรวมของเว็บไซต์ โดยสามารถดูลิงก์เสีย หน้าเพจที่มีปัญหา ตรวจสอบ Javascript, Backlinks, Direct Links รวมถึง Title และ Meta Description ว่ายาวเกินไปหรือไม่ และยังสามารถตรวจเช็กได้ว่า Robot เข้ามาบล๊อกลิงก์ของเราไปหรือเปล่า ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถดาวน์โหลดลงคอมพิวเตอร์ได้เลย มีทั้งรูปแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย

    • ราคา: $199 / ปี (ประมาณ 6,614 บาท)

    SEO Mofo

    เป็นเครื่องมือที่ใช้เช็กความยาวของ Title, URLs และ Meta Description ว่ามีความยาวมากเกินไปหรือเปล่า เพราะความยาวนั้นส่งผลต่อการแสดงผลบน Search Engine ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถเข้าใช้งานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ 

    Detailed SEO

    เป็นอีกโปรแกรมที่ใช้งานได้ฟรีและง่ายมาก ๆ เครื่องมือเอาไว้ตรวจสอบทั้งจำนวนคำ, Title และ Meta Description ว่าความยาวเหมาะสมหรือไม่ จำนวนคำมากไปหรือเปล่า อีกทั้งยังสามารถดูโครงสร้างเว็บไซต์ทั้งหมด (H1, H2, H3) ทั้งของตัวเองและคู่แข่งว่ามีการวางทิศทางเนื้อหาแบบไหน 

    MST SERP Counter

    สรุป

    เท่านี้ก็พอจะมองเห็นภาพแล้วว่าการทำ SEO สําคัญอย่างไรกับโลกดิจิทัลในปัจจุบัน ในฝั่งธุรกิจก็จะมีคนเยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนจากผู้ชมเป็นลูกค้าและปิดการขายบนเว็บไซต์ ส่วนในฝั่งลูกค้าก็จะเกิดความไว้วางใจในตัวแบรนด์ จากความน่าเชื่อถือของเนื้อหาและอันดับของเว็บไซต์ที่อยู่ใน Ranking ต้น ๆ ดังนั้นการทำ SEO จึงเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหน้าใหม่หรือหน้าเก่าก็ควรให้ความสำคัญ

    แล้วหากคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่เป็นเพื่อนคู่คิดในการทำ SEO ให้กับแบรนด์ “กระจ่าง” Digital Marketing Agency พร้อมจะขับเคลื่อนธุรกิจไปกับคุณ วางแผนและวิเคราะห์แผนการทำ SEO ด้วย Data-Driven ที่เหมาะกับธุรกิจ และให้บริการคุณแบบ One-Stop Service โดยคนรุ่นใหม่ที่มากด้วยประสบการณ์ อยากให้ธุรกิจนำหน้าเหนือคู่แข่ง อย่ารอช้าติดต่อหาเราได้เลย!

    Picture of krajang
    krajang

    บทความที่เกี่ยวข้อง

    สร้างความสำเร็จด้านการ
ตลาดออนไลน์ อย่างยั่งยืน ไปด้วยกัน

    ติดต่อเราเพื่อสอบถามเพิ่มเติม

    เพิ่มยอดขายทางออนไลน์ที่พิสูจน์ได้จริงภายใน 3-6 เดือน ด้วย KRA-JANG บริษัท Digital Agency ชั้นนำ แบบครบวงจรที่เน้น สร้าง ผลลัพธ์จากกลยุทธ์ที่ไม่ เหมือนใคร ปรึกษาเราคลิกกดปุ่ม ด้านล่างเลย!

    บทความแนะนำ

    สำหรับธุรกิจไหนที่อยากให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น การทำ SEO คือสิ่งที่สามารถช่วยให้ธุรกิจถูกมองเห็นในหน้าแรกของ Search Engine และเพิ่มยอดขายสินค้าได้ด้วย
    178
    แชร์

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า