การทำ SEO ให้เห็นผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยการเขียนบทความ SEO ลงบนเว็บไซต์ควบคู่กันไป เพราะบทความเป็นสิ่งที่ช่วยมอบคำตอบให้กับข้อสงสัยของผู้ใช้ได้ ซึ่งบทความ SEO ต่างจากบทความทั่วไปอย่างไร ข้อดี SEO Content มีอะไรบ้างและเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจอย่างไร บทความนี้มีคำตอบให้คุณ พร้อมแจกขั้นตอนการเขียนบทความ SEO ฉบับมือใหม่ทำตามได้ มาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันเลย!
KRAJANG Summary
- SEO Content คือ บทความที่มีการปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับสิ่งที่ Algorithm ต้องการ, มีคุณสมบัติตรงกับหลักเกณฑ์ E-E-A-T และมี Keyword สำคัญที่ผู้ใช้กำลังตามหา
- บทความ SEO แตกต่างกับบทความทั่วไปตรงที่ SEO Content ต้องมีการทำ Keyword Research และเน้นไปที่การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ ส่วนบทความทั่วไปแค่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ก็เพียงพอแล้ว
- เทคนิคเขียนบทความ SEO ให้ติดอันดับ คือ การกระจาย Keyword ตามตำแหน่งต่าง ๆ โดยที่ไม่มากและน้อยจนเกินไป เนื้อหามีคุณภาพ จำนวนคำไม่น้อยกว่า 500 คำ และอัปเดตเนื้อหาสดใหม่อย่างสม่ำเสมอ
SEO Content คืออะไร
บทความ SEO (SEO Content) คือ การเขียนบทความที่มีการปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับสิ่งที่ Search Engine Algorithm ต้องการ และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ E-E-A-T เพื่อให้ Google Algorithm มองว่าบทความนี้มีคุณภาพ รวมถึงการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กลุ่ม User คนทั่วไปที่ไม่ใช่ Robots โดยการสร้างเนื้อหาเป็นประโยชน์และตรงกับสิ่งที่พวกเขาตามหา ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดอันดับในหน้าผลการค้นหาและมี Traffic เข้ามายังเว็บไซต์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
บทความ SEO (SEO Content) คือ การเขียนบทความที่มีการปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับสิ่งที่ Search Engine Algorithm ต้องการ และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ E-E-A-T เพื่อให้ Google Algorithm มองว่าบทความนี้มีคุณภาพ รวมถึงการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กลุ่ม User คนทั่วไปที่ไม่ใช่ Robots โดยการสร้างเนื้อหาเป็นประโยชน์และตรงกับสิ่งที่พวกเขาตามหา ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดอันดับในหน้าผลการค้นหาและมี Traffic เข้ามายังเว็บไซต์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ความสำคัญของบทความ SEO คืออะไร
- เพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine
- มีโอกาสปิดการขายบนเว็บไซต์ได้มากขึ้น ช่วยให้ยอดขายของแบรนด์เพิ่มขึ้นไปด้วย
- มี Traffic หรือคนเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น
- เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์และแบรนด์
บทความ SEO ต่างจากบทความทั่วไปอย่างไร
ความแตกต่างหลัก ๆ ของบทความ SEO และบทความทั่วไปก็คือ จุดประสงค์ในการสร้างเนื้อหา โดยบทความ SEO จะเน้นไปที่การปรับปรุงผลการค้นหาให้กับเว็บไซต์เป็นหลัก ส่วนบทความทั่วไปสนใจเพียงแค่เนื้อหาที่มีประโยชน์ให้กับผู้อ่านเท่านั้น แต่ก็ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ทำให้บทความทั้ง 2 ประเภทนั้นแตกต่างกัน มีอะไรบ้าง มาดูกัน
จำนวนคำค้นหา (Keyword) ในบทความ
ถ้าเป็นบทความทั่วไปจะไม่ได้ให้ความสนใจกับจำนวนของ Keyword เพราะเน้นให้ความรู้หรือบอกเล่าเจาะจงเรื่องใดเรื่องหนึ่งไป แต่สำหรับบทความ SEO จำเป็นต้องทำ Keyword Research เพื่อค้นหาคำที่ User ใช้ในการเซิร์ชบน Google แล้วนำคำเหล่านั้นมาปรับแต่งใส่ในบทความ ซึ่งต้องแทรกอย่างเป็นธรรมชาติ อ่านแล้วกลมกลืนไปกับเนื้อหา และปริมาณของ Keyword ก็ต้องเหมาะสมกับจำนวนคำในเนื้อหาด้วย
การปรับแต่งเว็บไซต์เชิง Technical
ในการทำ SEO Content จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับแต่งเชิง Technical ได้แก่ การตั้งชื่อ Page Title, Meta Description, Header Structure และ Image Alt Tag ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและควรมี Keyword อย่างน้อย 1 ตัว รวมถึงการติดตั้ง Schema Markup โค้ดที่จะช่วยให้ Google ทำความเข้าใจเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น และสามารถนำไปแสดงผลในอันดับแรก ๆ ของหน้าค้นหา ในส่วนของบทความทั่ว ๆ ไปก็ไม่จำเป็นต้องทำส่วนนี้ก็ได้
ความถี่ในการเผยแพร่บทความ
การเขียน SEO Content นั้นต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการเผยแพร่ ซึ่งก็แล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละเว็บไซต์ว่าอยากจะอัปเดตบทความทุก ๆ กี่วัน เช่น สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น เหตุผลที่ต้องคอยอัปเดตอยู่ตลอดก็เพราะช่วยให้ Google Algorithm รู้ว่าเว็บไซต์นี้มีการเคลื่อนไหว ไม่ใช่เว็บไซต์ร้าง และช่วยให้ User ได้ความรู้และข้อมูลใหม่ ๆ จากเว็บไซต์ เพิ่มทั้งความน่าเชื่อถือและ Traffic อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งบทความทั่วไปก็อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญในจุดนี้มากนัก
โครงสร้างของเนื้อหา
จุดนี้อาจแตกต่างจากบทความทั่วไปเล็กน้อย โดยบทความ SEO จะต้องวางโครงสร้างเนื้อหาให้ต่อเนื่องกัน จากหัวข้อ A ไป B โดยไม่ติดขัด เพื่อให้ User อ่านเนื้อหาของเรานาน ๆ รวมไปถึงการสร้างบทความ SEO ที่เนื้อหามีความสอดคล้องกัน เพื่อให้สามารถสร้าง Internal Link เชื่อมโยงไปหากันและกันได้ นอกจากช่วยให้ผู้ชมอยู่ที่เว็บไซต์นานขึ้นแล้ว ยังส่งผลต่อการจัดอันดับในหน้าค้นหาอีกด้วย
ประเภทของ SEO Content มีอะไรบ้าง
- Blog Content: เป็น SEO Content ที่มีจุดประสงค์หลักคือการมอบความรู้หรือแบ่งปันประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน เช่น อัปเดตเทรนด์ต่าง ๆ รีวิวร้านอาหาร แจกสูตรทำอาหาร เป็นต้น ซึ่งจะเลือกเขียนบทความที่สอดคล้องสินค้าและบริการของแบรนด์ก็ได้เช่นกัน โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- Tropical Content เป็นการเขียนบทความตามกระแส เทรนด์ หรือข่าวสารในช่วงนั้น ๆ มีโอกาสที่คนจะสนใจและเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ แต่เมื่อกระแสซาลง ความน่าสนใจของเนื้อหาก็จะลดลงตามไปด้วย
- Evergreen Content เป็นบทความที่คนสามารถเข้ามากดอ่านได้ตลอด เพราะเป็นความรู้พื้นฐาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เช่น SEO คืออะไร
- Onsite Content: เป็น SEO Content ที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ ดึงดูดให้มี Traffic ที่เว็บไซต์มากขึ้นด้วยการแทรก Keyword เป้าหมายไว้ในเนื้อหา ซึ่งจะส่งผลต่ออันดับในหน้าผลการค้นหาอีกด้วย
- Outreach Content: เป็นการเขียนบทความที่มีเนื้อหาคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องธุรกิจ จากนั้นนำไปฝากไว้กับเว็บไซต์ที่มีค่า DA สูงหรือก็คือการทำ Backlink นั่นเอง ช่วยให้เว็บไซต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้นและเพิ่มโอกาสการเปลี่ยนจากผู้อ่านเป็นลูกค้าได้ด้วย
กระจ่างแจก 5 เทคนิคเขียนบทความ SEO ให้ติดอันดับ
จะเห็นได้ว่าการทำบทความ SEO ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากมาย แน่นอนว่าความสม่ำเสมอและการอัปเดตข่างสารอย่างสม่ำเสมอเป็นทักษะที่จำเป็น แต่ก็ต้องอาศัยเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้บทความ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น วันนี้กระจ่างก็จะมาแนะนำวิธีการเขียนบทความ SEO ฉบับมือใหม่ก็ทำตามได้ มาดูกันเลย
ต้องมี Keyword ในทุก ๆ บทความ
ไม่ว่าบทความใดก็ตามต้องมี Keyword ที่ผู้ใช้ต้องการคำตอบ เพราะนอกจากจะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับแล้ว ยังเป็นแนวทางให้นักเขียนในการวางโครงสร้างเนื้อหาทั้งหมดก่อนเขียนจริง ว่าเนื้อหาจะไปในทิศทางไหน มีหัวข้ออะไรบ้าง บทความนี้เขียนเพื่อใคร มีวัตถุประสงค์อะไร ช่วยให้คุณสามารถเขียนบทความ SEO ได้แบบไม่หลุดกรอบ
กระจาย Keyword ในตำแหน่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
เมื่อได้ Keyword ที่ต้องการแล้ว ก็ให้กระจายในเนื้อหาอย่างเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะหากน้อยไป Algorithm อาจจะหาบทความ SEO ของเราไม่เจอ และถ้ามากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของผู้อ่าน โดยตำแหน่งสำคัญ ๆ ที่ควรจะแทรก Keyword ลงไป มีดังนี้
- Title ชื่อบทความ
- Meta Description คำบรรยายของบทความ
- Link URL ลิงก์ของบทความ
- Heading หัวข้อบทความ ได้แก่ H1, H2, H3
- รูปภาพและ Alt Text ของภาพ
เนื้อหาต้องมีคุณภาพ
ข้อมูลในบทความ SEO จะต้องให้ประโยชน์ให้กับผู้อ่าน ให้คำตอบในสิ่งที่พวกเขาต้องการ เนื้อหามีความสดใหม่ ไม่คัดลอกเนื้อหามาจากใคร กระชับ ได้ใจความ และจำนวนคำควรมีมากกว่า 500 คำขึ้นไป ซึ่งทางที่ดีความยาวของบทความนั้นควรจะอยู่ที่ 1,000 – 1,200 คำ รวมถึงต้องสอดคล้องกับ Search Intention ให้พวกเขาได้คำตอบที่สั้น กระชับ ย่อยง่ายและเข้าใจง่าย
การทำ Multimedia Content
หลายคนคงเคยได้ยินกันมาว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยกว่า 8 บรรทัด แล้วยิ่งปัจจุบันที่ข่าวสารมาไวไปไว การเขียนเนื้อหายาว ๆ และมีแต่ข้อความเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ตอบโจทย์แล้ว ควรเสริมการทำ Multimedia Content ลงไป เช่น ทำ Infographic สรุปเนื้อหาในรูปเดียว หรือแนบคลิปวิดีโอสำหรับใครที่อยากฟังแทนการอ่านเนื้อหา เป็นต้น
อัปเดตเนื้อหาใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนอาจละเลยไป แต่ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Algorithm รู้ว่าเว็บไซต์ของเรายังมีการเคลื่อนไหวอยู่ และมีคนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพราะการทำ SEO ให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนต้องอาศัยเวลาในระยะยาว ความสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเขียน SEO Content
สรุป
การเขียนบทความ SEO เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเห็นผลลัพธ์ รวมถึงต้องพึ่งพาการทำ Technical SEO ควบคู่กันไปด้วย เพื่อเสริมประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ เมื่อเข้ามาอ่านเนื้อหาในเว็บไซต์ของเรา ส่วนทางฝั่งนักเขียนก็แค่คอยอัปเดตเทรนด์ เทคนิคใหม่ ๆ มาปรับใช้ในบทความ เพื่อให้ได้ SEO Content ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น